Lore
- ชาวคาลเกอร์
-
เราคือคาลเกอร์ เราใช้ชีวิตไปกับการคุ้ยเขี่ยในโคลนตมแห่งชีวิตมนุษย์เพื่อตามหาชื่อเสียงเพียงเศษเสี้ยว บางคนพบมันในสมรภูมิ บางคนพบมันในการรับใช้ คนอื่นๆ อาสาที่จะเดินทางไปสุดขอบโลกที่รู้จักเพื่อทำภารกิจอันเป็นไปไม่ได้ การเลือกของเราจะเป็นตัวตัดสินตัวตนของเรา และตัวตนของเราย่อมก้องสะท้อนไปสู่ตำนาน
-
เราเป็นกลุ่มชนผู้ภาคภูมิ แต่กลุ่มไหนเล่าที่ไม่ภาคภูมิ? เราไม่เหมือนใครก็ตรงที่เราอาศัยความกล้าหาญบากบั่นอย่างหนักและมีเหตุผลในการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันโหดร้าย แต่ละเชื้อสายมีการรวบรวมความสำเร็จและความเลื่องลือเอาไว้ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเอง แต่เราทำเพื่อลูกหลานของเรา หากเราจะได้มีลูกมีหลานเข้าสักวัน ข้าก็ยังมีหวังอยู่นะ
-
อักขระบนชุดเกราะของเราจะจับและก่อร่างให้กับแสงดารา มันดูจะเจ้าบทเจ้ากลอนไปนิด แต่อย่าเข้าใจผิดเป็นอันขาด เหล่าช่างแห่งคาลเกอร์เปลี่ยนอักขระเหล่านี้ให้เป็นเครื่องมือสังหารมาได้แต่เนิ่นนาน ทันทีที่พวกเขาพบว่าอักขระเหล่านั้นสามารถดลใจให้ศรเข้าเป้า และดลใจให้คมดาบเข้าลึกไปกว่าเดิม ช่างผู้ใหญ่ยิ่งนั้นเป็นที่รู้จักในนามของช่างอักขรา สร้างสรรค์ผลงานที่ปัญญาเลิศเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะไม่มีโบราณวัตถุเหล่านี้มากนัก แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องมีมากเลย
-
โบราณวัตถุอันทรงพลังที่สุดที่เราเคยรู้จักมานั้น ถูกกองสำรวจกลุ่มแรกนำมาในทวีปนี้เมื่อหลายพันปีก่อน เพลงต่างๆ กล่าวขานว่ามันเผาผลาญสิ่งชั่วร้าย ทำให้ทุ่งที่แปดเปื้อนนั้นบริสุทธิ์ และป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีเจตนาร้ายได้เข้าใกล้ เราย่อมต้องการโบราณวัตถุแบบนั้นในช่วงที่มีปัญหาเช่นนี้... แต่จะตามหามันได้ เราก็ต้องย้อนตามรอยของเหล่าผู้มาที่นี่แต่เนิ่นนาน มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่บอกได้ว่าเพลิงทริสเกียลนั้นมีชะตากรรมเช่นไร
-
เหล่านักบวชแห่งคาลเกอร์บูชาความรู้ มิใช่ทวยเทพ
Uniques##Faithguard
- Colonisation of Wraeclast
-
เราไม่มีทางตีความความหมายที่แท้จริงของลางร้ายนั้นได้ แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อน แผ่นดินสั่นสะเทือน เมฆในยามราตรีจากลา ผู้คนสั่นเทาและหลบหนี ร่องรอยดวงดาวทอดผ่านไปทั่วฟากฟ้า ตกลงมาเป็นไฟเผาป่าของเรา แล้วดวงตะวันสีเลือดก็ปรากฏบนฟากฟ้า มันสว่างเสียจนดวงจันทร์เสี้ยวกลายเป็นจันทร์เต็มดวงสีแดงก่ำ
-
เกิดเรื่องราวมหัศจรรย์และเลวร้ายขึ้น กษัตริย์แคดิแกนที่สามจึงบัญชาให้กองเรือเดินทางไปยังขอบฟ้า นำโดยเหล่านักรบของเราผู้ใหญ่ยิ่ง และนำเพลิงทริสเกียลไปเพื่อเป็นการคุ้มครอง ในเมื่อข้ามีหน้าที่ที่ผูกพันกับเพลิงนั้น ข้าจึงเข้าร่วมเป็นหัวหน้าผู้บันทึกนั่นเอง เราออกเดินทางภายในเดือนหนึ่ง
-
การเดินทางผ่านทะเลอันดื้อรั้นและโกรธเกรี้ยวใช้เวลาเกือบสองฤดูกาล โดยที่เราแทบไม่ได้มองเห็นท้องฟ้าผ่านเมฆสีดำ เต็มไปด้วยสายฟ้าสีเลือด เราไม่อาจดื่มน้ำฝน หรือกินปลาได้ จนกว่าเพลิงนั้นจะทำให้น้ำสะอาด หรือทำให้เนื้อนั้นบริสุทธิ์ แต่ไม่ว่ายังไงการยังชีพก็แย่นัก พอถึงยามที่เราเห็นชายฝั่งมาแต่ไกล เสบียงของเราหมดเกลี้ยง คนของเราหิวโหย
-
เท้าแรกที่เหยียบย่ำแผ่นดินนี้ถูกขย้ำขยี้ไปด้วยคมเขี้ยวภายใต้ผืนทราย ไม่มีลางร้ายใดที่เห็นได้ชัดไปกว่านี้อีกแล้ว เราได้ฝ่าเส้นทางอันโหดเหี้ยมไปตามผืนทราย ขับไล่เดรัจฉานใต้น้ำ แต่กลับพบผีสยองที่เดินลากเท้าในหมู่ไม้ เราเสียเลือดเนื้อไปทุกย่างก้าว
-
ในคืนที่เจ็ด เมฆอันมืดมนนั้นจากไป แล้วดวงดาวทรงโปรดของเราก็ปรากฏ ออลรอธปักเพลิงทริสเกียลไว้ตรงกลางปราการของเรา พิธีกรรมม่านพลังเสร็จสิ้น เรารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเล็กน้อย จากตรงนั้น ทุกอย่างก็เติบโต เหมือนกับดอกไม้ที่เบ่งบานภายใต้เงาไม้นั่นเอง
-
เมื่อกองอัศวินดวงตะวันเดินทางลึกเข้าไปในเกาะ เราพบซากอารยธรรมจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับบ้านเกิดของเรา มีศพมากมายที่ไหม้เกรียม แต่มีศพอีกมากมายที่ไม่ยอมตาย หลายต่อหลายศพนั้นประดับประดาไปด้วยมณีอันส่องประกายที่ดึงดูดสายตาและเพรียกหาเรา พวกสิ่งชั่วช้าเหล่านี้ที่ยังเดินได้มักมีมณีเหล่านั้นฝังในอวัยวะพวกเขา เออห์เทร็ดสังเกตเห็น จึงประกาศว่าคริสตัลเหล่านี้เป็นของไม่สะอาด ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเราที่ต้องการแย้ง
-
เกียรติยศบังคับให้ข้าค้นหาชะตากรรมของเออห์เทร็ดกับภาคีถ้วยจอก ข้าจะรับแลกโบราณวัตถุใดๆ ที่มีเครื่องหมายกับอักขระของภาคีนี้ พวกเขาเป็นกลุ่มนักบวชหลักกับภาคีศาสนาที่เดินทางไปกับเรือลำแรกๆ สู่เวร์แคลส์ท พวกเขาจะตีความดวงดาวกับการทำงานของอำนาจลี้ลับ อย่างเช่นการเล่นแร่แปรธาตุ เครื่องจักร กับอักขระ ข้าอยากร่วมกับภาคีนี้มาโดยตลอด ข้าน่ะอยากลองปลีกตัวมาทำการวิจัยต่างๆ ภายในห้องทดลองเสียจริง
-
คนกลุ่มแรกที่ไปสำรวจนครวาล์ต้องสาปก็คือพวกกองอัศวินดวงตะวัน สมุดปูมเดินทางเล่มนี้มาจากยุคแรกเริ่ม หลังจากที่พวกเขาเพิ่งมาถึงเวร์แคลส์ทแล้วพบกับจักรวรรดิอันรุ่งโรจน์เรืองรอง... และเต็มไปด้วยเหล่าผู้คืบคลาน ข้าไม่อาจนึกได้ว่ามีเหตุการณ์สยดสยองเช่นไรที่ทำให้ทั้งอารยธรรมต้องสิ้นซากในครั้งเดียว ข้าเองก็ไม่อยากจะรู้นัก
เราจะตามรอยเท้าพวกเขาไปไหม เอ็กไซล์? -
กองทองเป็นภูเขากระจัดกระจายไปทั่วซากจักรวรรดิ โดยมักถูกคุ้มครองจากเหล่ามณีชนที่อันตรายและประดับประดาอย่างหรูหรายิ่ง แม้พวกเขาจะมีสภาพเป็นอสุรกาย แต่พวกชนชั้นสูงกับนักบวชเหล่านี้ยังตระเวนรอบทรัพย์สมบัติเหล่านี้ ไม่ยอมปล่อยให้สิ่งที่มีค่ากว่าชีวิตของพวกเขาหลุดรอดไปจากเงื้อมมือเป็นอันขาด พวกเขาไม่ได้ตายไปตามถนนเหมือนกับเหล่าผู้ที่พยายามหลบหนี พวกเขาได้ล็อก ปิดตายวิหารของพวกเขาเอาไว้ ปิดตายพวกเขาเอาไว้ในสุสานของตัวเอง
-
เหล่าชนชั้นสูงแห่งอัทซาลได้เปิดทางน้ำของพวกเขา แล้วตั้งใจลงน้ำให้จมน้ำตายกันไปเอง ไม่ได้ทำด้วยความเมตตาใดๆ แต่ทำด้วยความเย้ยหยันต่อผู้ที่คิดจะปล้นสะดมพวกเขาในอนาคต นี่เป็นจักรวรรดิที่ถูกปกครองโดยคนสิ้นสติ พวกเขาเย้ยหยันได้สำเร็จ เพราะเราไม่สามารถถ่ายน้ำอันแสนอันตรายพวกนี้ได้ และทรัพย์สมบัติของพวกเขาหายไปตลอดกาล แต่ว่าเมืองอื่นๆ ก็เป็นแหล่งความมั่งมีมหาศาลที่หาได้อย่างเชื่องช้าและมั่นคง
-
กษัตริย์แคดิแกนที่สามมองว่าแผ่นดินใหม่กับสมบัติใหม่นี้เป็นรางวัลสาธารณะที่ใครก็เข้ามาครอบครองได้ เหล่าช่างฝีมือมาถึงที่นี่ก่อน ตามมาด้วยเรือที่เต็มไปด้วยพ่อค้ากับอิสรชน แล้วพวกผู้หญิงกับเด็กๆ ก็ตามมา พอถึงปีที่สาม ก็เกิดเป็นหมู่บ้านจัดตั้งแห่งแรกขึ้น ทุกอย่างนั้นรุ่งเรืองตราบใดที่เพลิงทริสเกียลเจิดจ้า แต่ในไม่ช้าก็มีพวกเรามากเกินกว่าที่มันจะคุ้มครองได้หมด
-
เหล่าทหารรับจ้างเคียวดำภายใต้การนำของวอราน่าได้คิดค้นกลยุทธ์ในการปกป้องและการสังหาร ซึ่งช่วยขยายอาณาเขตที่เราสามารถคุ้มครองได้ ระยะห่างนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ คนของเธอถือหน้าไม้อยู่ด้านหลังกำแพงอันแข็งแกร่ง สังหารภัยสยองได้ทีละตัว ฉีกทึ้งพวกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป เรากล้าที่จะเชื่อว่าเราสามารถคุมทวีปที่ถูกทอดทิ้งได้ด้วยวิธีการอันธรรมดาและเรียบง่ายเช่นนี้ โดยมีการจัดตั้งหมู่บ้านอีกสิบแห่งในปีนั้น
-
เธอเป็นนักรบที่น่ากลัวและน่าทึ่ง กษัตริย์แคดิแกนที่สามพยายามคุมให้เธอรับใช้ราชวงศ์ แต่เธอกำราบทุกคนที่ถูกส่งให้นำตัวเธอไปหาพระองค์ ท้ายที่สุดพระองค์ท่านก็รู้ว่าเธอนั้นไม่อาจควบคุมได้ พระองค์ท่านจึงประทานให้เธอมีกองทหารรับจ้างเป็นของตัวเอง โดยมอบอิสรภาพให้เธอทำอะไรได้ตามที่ต้องการ เธอได้ชิงชัยชนะอันยิ่งใหญ่มามากมายให้กับคาลเกอร์ ข้านับถือผู้ที่สร้างเส้นทางของตัวเองนัก
ไม่มีใครรู้ว่าชะตากรรมของเธอที่เวร์แคลส์ทเป็นเช่นไร แต่ข้าเชื่อว่าเธอยังไม่ตาย วิญญาณอันโชติช่วงเช่นนี้ย่อมไม่อาจสิ้นสลายหากไม่ได้เผชิญกับการต่อสู้ในตำนาน -
เริ่มมีการค้าขายกับชายเกาะกับชาวเขาตามเส้นทางอันแสนไกล ถึงแม้เราจะไม่ใช้ภาษาร่วมกัน และไม่สามารถเข้าอกเข้าใจกันได้ แต่ข้าได้บันทึกเพลงของชาวเกาะเอาไว้เพื่อทำการตีความในภายหลัง และข้าได้พบกับผู้รอดชีวิตจากจักรวรรดิที่ล่มสลายในหมู่ชาวเขาอีกด้วย
-
ผู้รอดชีวิตจากจักรวรรดิที่ล่มสลายมิได้มีมณีที่เราได้พบเจอในหมู่ศพเดินลากเท้า เมื่อข้าวาดรูปมณีลงไปในดิน ก็บังเกิดความแตกตื่นขึ้น เราถูกขับไล่จากภูเขา เมื่อพระองค์ทรงได้ยินเช่นนี้ กษัตริย์แคดิแกนที่สามจึงสั่งห้ามคริสตัลเหล่านี้อย่างเป็นทางการ และไม่มีการเก็บหรือขนส่งมณีเหล่านั้นไปยังบ้านเกิดอีกต่อไป
-
พอถึงกาลที่กษัตริย์แคดิแกนที่สี่ทรงครองราชย์ในบ้านเกิด เราก็มีหมู่บ้านมามากเกินที่จะนับ เหล่าผู้ขัดแย้ง ผู้ที่สังคมรังเกียจ ฝ่ายศาสนา กับกลุ่มชนผู้สาบสูญต่างเดินทางมาสร้างชีวิตใหม่ในแผ่นดินใหม่แห่งนี้ โดยที่พวกเขาไม่ต้องการตอบรับต่อเหล่าอัศวิน และกลุ่มเมืองชายขอบรอบนอกเหล่านั้นเป็นกลุ่มแรกที่ได้พบกับภัยสยองใหม่ พวกเขาเผชิญกับภัยเหล่านี้อย่างเงียบงัน เพราะพวกเขาไม่อาจยอมรับต่อคนนอกว่ากำลังเผชิญกับภยันตรายที่ไม่อาจพิชิตได้ด้วยตนเอง
-
เหล่าผู้ครองมนต์ธรรมชาติของเม็ดเว็ดประกาศว่าพวกเขาพบลมหายใจหรือไอที่ออกมาจากคนหนึ่งยามวางวาย ซึ่งจะมองเห็นก็ต่อเมื่อเขาสิ้นลมใกล้กับมณีต้องห้ามเพียงเท่านั้น ในยามที่มณีนั้นดึงดูดไอนั้นไป เม็ดเว็ดประกาศว่าทุกคนย่อมมีแก่นแท้บางอย่างที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจ ด้วยเหตุนี้ เออห์เทร็ดจึงประกาศว่าเขาเป็นผู้นอกรีต และทำการเนรเทศภาคีของเขาไปสู่ชายขอบ เม็ดเว็ดได้ชดใช้ด้วยทรัพย์อย่างหนักเพื่อละเว้นการเนรเทศครั้งนี้ ประเด็นนี้จึงถือว่าจบลงด้วยดี
-
ในบรรดาวีรชนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ เม็ดเว็ดนั้นเป็นวีรชนที่ลึกลับที่สุด เหล่าผู้ครองมนต์ธรรมชาติของเขาเป็นผู้ดูแลสถานพำนักในธรรมชาติทั้งหลายที่ได้รับการคุ้มครอง ถึงแม้ความมืดมิดของเวร์แคลส์ทจะทำให้เขาเสียสติ แต่เขาอาจใช้สถานพำนักพวกนั้นเพื่อทำเรื่องชั่วช้าก็เป็นได้ รายละเอียดในสมุดปูมเดินทางเล่มนี้อาจช่วยนำเราไปหาตำแหน่งที่เขาอาจอยู่ก็เป็นได้ แล้วแต่เจ้าเลยนะเอ็กไซล์
-
เกียรติยศบังคับให้ข้าค้นหาชะตากรรมของเม็ดเว็ดกับคณะดรูอิดสิ้นวัฏจักร พวกเขาเชื่อว่าสามารถมองเห็นอนาคตได้ด้วยการจ้องมองอดีต ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากมีพลังแบบนั้นบ้างนะ เพราะจะได้มีโอกาสและทำกำไรได้... แต่ข้าเองก็คงไม่อยากให้มันเป็นจริงนัก หากเม็ดเว็ดกับเหล่าผู้ครองมนต์ธรรมชาติพวกนั้นคิดถูก แล้วเวลาเป็นวงกลมจริงๆ นั่นแปลว่าเราต้องใช้ชีวิตของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปชั่วกาลนานเหรอ? หากนั่นเป็นความจริง ดวงก็ไม่มีอยู่จริง ไม่มีโอกาส ไม่มีเจตจำนงของมนุษย์ ทุกชีวิตกลายเป็นละครเวทีที่เล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าไม่ชอบความคิดนั้นเลยนะ
-
ในฤดูหนาวของปีนั้น กองคาราวานกับเหล่าผู้วิ่งที่ถูกส่งไปสู่ชายขอบนั้นไม่ได้กลับมาอีก ออลรอธส่งกองอัศวินดวงตะวันผ่านป่าและภูเขาอันหนาวเหน็บเพื่อออกตามหาพวกเขา แล้วก็พบว่าเหล่ากลุ่มที่ออกไปสู่ชายขอบได้สูญเสียคนจำนวนมาก และได้พบกับภัยสยองที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
-
ออลรอธกับกองอัศวินของเขาได้ถอยออกมาจากชายขอบ แล้วจุดไฟสู่ป่าแห่งนั้น เพลิงไฟขนาดมหาศาลได้ลุกลามจากแม่น้ำทางตอนใต้ไปจนถึงผืนทรายทางตอนเหนือ ไม่มีใครพูดถึงเหตุผลที่กระทำรุนแรงเช่นนี้ เมื่อเขากลับมา ออลรอธได้ขยายอิทธิพลของเพลิงทริสเกียล ถึงแม้ม่านพลังแสงดาราจะอ่อนแอกว่าเดิมเมื่อปกป้องอาณาเขตขนาดใหญ่ แต่มันก็เป็นเรื่องจำเป็นในการปกป้องหมู่บ้านเหล่านั้น ออลรอธผู้หาญกล้าได้ปลีกวิเวกไปอย่างบ่อยนัก และถูกขนานนามว่าเป็นออลรอธผู้มืดมน
-
นี่เป็นฤดูใบไม้ผลิที่ชั่วช้าสิ้นดี! ในคืนเดือนมืด ไอ้ปีศาจตาเปล่าได้พรากคนของเราไปอีกคน คราวนี้เป็นหญิงสาวที่มีกำหนดว่าจะฝึกเป็นนักรบเมื่อเธอผ่านพิธีที่สอง หลายต่อหลายคนได้แพ้พ่ายให้กับภัยสยองในแผ่นดินต้องสาปแห่งนี้ในยุคแรกเริ่ม แต่ข้าเชื่อว่าเราได้กำราบความมืดมิดได้ด้วยพิธีชำระล้างของเราแล้ว
ข้าคิดผิด การปลูกอาหารที่ไม่มีพิษนั้นไม่เหมือนกับการรักษาความปลอดภัยให้กับพวกพันธุ์มืด มันเหมือนกับว่าแผ่นดินต้องสาปนี้เรียนรู้จากชัยชนะของเรา แล้วบิดเบือนพวกเดรัจฉานในแนวทางใหม่ๆ ที่เอาชนะการป้องกันของเราได้ -
เม็ดเว็ดกับเหล่าผู้ครองมนต์ธรรมชาติได้คิดค้นยุทธวิธีการศึกใหม่ขึ้นมา ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ศาสนาของเขาสั่งห้ามเอาไว้ เขาได้สังเกตว่าภัยสยองเหล่านี้มีศักยภาพที่จะเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาโดยตลอด และเขาเสนอว่าเราอาจทำพลาดในการทำภารกิจไม่เสร็จสมบูรณ์
เมื่อเรากวาดล้างพวกเวอร์นิคูเลียทั้งหมด เว้นแต่พวกที่แข็งแกร่งที่สุด พวกแข็งแกร่งที่อยู่รอดก็ขยายพันธุ์ต่อไปได้ พร้อมสืบทอดความอันตรายของมันต่อไป หากเราจะครองชัยชนะอย่างแท้จริงแล้วปกป้องหมู่บ้านที่กระจายตัวขึ้นไปทุกที เราจะต้องกำจัดให้สิ้นไปทุกสายพันธุ์ เราจะต้องตัดชิ้นส่วนหนึ่งของอวัยวะออกไปโดยสิ้นเชิง หากเราทำได้น้อยไปกว่านั้น เราย่อมเร่งให้หายนะเข้าใกล้ขึ้นมาทุกที -
พวกวอร์นิคูเลียถูกล้างบางสิ้นไปหมดแล้ว พวกมันจะไม่ทำให้แผ่นดินนี้แปดเปื้อนไปด้วยพิษร้ายของมันอีกต่อไป ถึงแม้จะมีพวกพันธุ์มืดอื่นๆ อีกมากมายที่เฝ้ารอในความมืดของแผ่นดินต้องสาปแห่งนี้ แต่ชัยชนะเล็กน้อยก็ยังถือเป็นชัยชนะ อัศวินของข้ากับกลุ่มคนของวอราน่านั้นแข็งแกร่งพอจนไม่มีใครล้มตายไปในการเผาป่ากับพุ่มเตี้ยจนสิ้น วันนี้เป็นวันดีที่หายาก เป็นวันที่เราไม่มีเหตุให้ไว้อาลัย
ข้ากลับไปนึกถึงหน้าที่ที่ยังไม่เสร็จสิ้น ปีศาจตาเปล่าตัวนั้นไม่เหมือนกับตัวอื่น ข้าจะต้องใช้คบเพลิงกับคมดาบขจัดให้มันหายไปจากโลกใบนี้ -
เหล่าอัศวินดวงตะวันทั้งหลายต่างล้มตายอยู่ทั่วป่าเขาจากการออกตามหาปีศาจตาเปล่า ข้าเอาดาบฟันเข้าไปในคอของมัน แต่แผลนั้นไม่ทำให้มันเลือดออก มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันกัดกินด้วยซี่ฟันบนแขน ไม่ได้กัดกินเพื่อเอาตัวรอด แต่กัดกินเพื่อลิ้มรสเสียงกรีดร้องของเหยื่อของมัน ข้าพบเห็นในดวงตาทั้งสองอันว่างเปล่าที่อยู่บนหน้าอันเน่าเปื่อยของมัน มัน... ยิ้มให้กับข้า... ในยามที่มันกัดกินอัศวินลูกมือของข้าจนขาดเป็นสองท่อน
เพลิงมนุษย์นั้นไม่ช่วยอะไร อาวุธมนุษย์ไม่ช่วยให้เลือดออก ข้าจำต้องคิดถึงทางออกต้องห้าม เม็ดเว็ดกับเหล่าผู้ครองมนต์ธรรมชาติของเขาต่างทอดทิ้งหลักการอันเป็นแก่นแท้ของพวกเขาเพื่อให้เอาตัวรอดได้ ข้าเองก็ต้องทำเช่นกัน เหล่าชาวเขาเคยเตือนข้าเรื่องมณีที่นำมาซึ่งพลัง แต่ว่าข้าไม่มีทางเลือกอีกต่อไป... -
ช่างเบิกบาน! ช่างตรึงใจยิ่งนัก! ข้าเดินทางไปในค่ำคืนเพียงลำพัง โดยใส่มณีต้องห้ามไว้ในด้ามดาบที่เคยไร้ประโยชน์ คราวนี้ข้ากลับมาพร้อมกับหัวปีศาจนั่น แม้มันจะตายด้วยการแสยะยิ้ม แต่มันก็ถูกพิชิตแล้ว มณีเม็ดนั้นลุกโชนไปด้วยแสงสว่างจากโทสะของข้า เสกเอาลำแสงดาราที่ทำให้การฟันที่คลาดเป้าให้กลายเป็นการฟาดฟันอันสังหาร
เราโง่มาตลอดที่ปฏิเสธพลังนี้ ความผิดพลาดของเราทำให้กลุ่มชนของเรามากมายต่างต้องทุกข์ทรมาน เมื่อแสงตะวันส่องมายังยอดไม้ ข้าจะสั่งให้เหล่ากองอัศวินดวงตะวันที่ยังเหลือรอดออกตามหามณีต้องห้ามพวกนี้ มันได้เวลาที่เราจะยึดแผ่นดินนี้ ทำให้มันปลอดภัยไปตลอดกาล -
ในฤดูร้อนที่กองอัศวินดวงตะวันเริ่มฝังเอามณีต้องห้ามเข้าไปในอาวุธกับชุดเกราะของพวกเขา เม็ดเว็ดจากคณะดรูอิดวัฏจักรได้ออกมาหากลุ่มชน "อดีตอนาคตกาลนั้นถูกบดบังไปเสียสิ้น บ่อมองกาลในแดนนี้มักจะแปดเปื้อนไปด้วยหมอกสีเลือด แต่นี่เป็นเรื่องใหม่ ในคืนที่ออลรอธออกไปตามลำพัง ข้าไม่อาจมองเห็นอดีตได้อีก ดังนั้นเราจึงไม่อาจล่วงรู้ถึงอนาคตได้อีกต่อไป" หลังจากนั้น ภาคีของเขาจึงถูกขนานนามว่าคณะดรูอิดสิ้นวัฏจักร
-
ผู้หญิงที่คลุมหน้าได้พูดกับเม็ดเว็ดในจัตุรัส ภายใต้หอกที่ปักศีรษะของปีศาจตาเปล่าเอาไว้ "เจ้าได้เสียศรัทธาของเจ้าไปแล้วหรือ ดรูอิดระดับสูง"
เม็ดเว็ดตอบกลับ "ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาอดีตย่อมไม่อาจรอดพ้นจากการซ้ำรอยอดีต แต่ผู้ที่ไม่สามารถศึกษาอดีตนั้นไม่มีอนาคตแม้แต่น้อย วงนั้นได้ขาดแล้ว"
ผู้หญิงคนนั้นได้ดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกมา เผยตนว่าเป็นวอราน่า ผู้นำแห่งเคียวดำ เธอตอบ "งั้นหันมาจับอาวุธเสีย เราจะต่อสู้ฟันฝ่าไปในช่วงเวลาระหว่างอดีตกับอนาคต"
เม็ดเว็ดรับของขวัญของเธออันได้แก่ขวานสองเล่ม แล้วเริ่มฝึกภาคีของเขาให้พร้อมกับการต่อสู้ ขวานทั้งสองเล่มมีมณีในด้ามขวานอันมีพลังมหาศาล -
คณะดรูอิดสิ้นวัฏจักรกับกองทหารรับจ้างเคียวดำได้ส่งกองกำลังไปยังบริเวณใกล้กับชายขอบเพื่อช่วยเหลือกองอัศวินดวงตะวัน กองอัศวินนี้สูญเสียคนไปครึ่งหนึ่งในการออกตามล่าปีศาจตาเปล่า แม้ว่าม่านพลังแสงดารานั้นจะถูกแผ่ขยายและอ่อนแอ แต่เหล่านักรบที่เสริมกำลังมาใหม่ได้ใช้พลานุภาพของมณีเพื่อกันไม่ให้ภัยสยองยามค่ำคืนเข้ามารุกราน ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันมาหลายต่อหลายฤดูเสียจนบังเกิดวีรชนผู้ยิ่งใหญ่หลายต่อหลายคนจากวีรกรรมของพวกเขา แอนเนสต์ บุตรสาวของเม็ดเว็ดกับวอราน่าถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อให้ถูกเลี้ยงดูอย่างปลอดภัย ส่วนบุตรของออลรอธที่เข้าใกล้พิธีแรกของเขาได้เดินทางไปกับเธอในฐานะผู้ปกครอง
-
ทุกคนต่างสะพรึงกลัวเมื่อเกิดเรื่องที่เกินคาดคิดขึ้นมา: มีหัวหน้าภัยสยองเกิดขึ้นมา ซึ่งสามารถคิดและทำสิ่งต่างๆ อย่างชาญฉลาดได้ พวกเดรัจฉานเริ่มเข้าจู่โจมในจุดที่ม่านพลังแสงดารานั้นอ่อนแอที่สุด หรือจุดที่กองลาดตระเวนมิได้สัญจรผ่าน เม็ดเว็ดมีความคิดบางอย่างที่ไม่ได้บอกเอาไว้ เขาส่งผู้ส่งสารไปยังความมืดมิด โดยที่ผู้ส่งสารถูกไว้ชีวิตให้กลับมาพร้อมกับจดหมาย เหมือนว่าคำพูดในนั้นจะยืนยันสิ่งที่เม็ดเว็ดเกรงกลัวมาตลอด เขาเดินทางไปในยามค่ำคืนเพื่อท้าทายหัวหน้าศัตรูคนใหม่ผู้นี้ เขาไม่ได้กลับมา
-
เหล่านักบวชมีหูตาอยู่ทุกที่ในฤดูที่เม็ดเว็ดหายตัวไป นักบวชชั้นสูงเออห์เทร็ดเข้าใจว่ามีการทรยศ และสั่งให้ลูกศิษย์สังเกตการณ์การเดินทางเข้าออกของผู้นำคนอื่นเอาไว้ พวกเขาพบว่า หลังจากที่ออลรอธผู้มืดมนได้ใช้เวลาแต่ละวันทุ่มเทไปกับการต่อสู้เสียจนเหนื่อยล้า เขาจะกลับไปอยู่เพียงลำพัง และหลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่ง เขาจะออกไปทางประตูอื่น แอบย่องเข้าไปในความมืดมิดโดยไม่มีผู้ใดสังเกต ขณะที่เขาออกเดินทาง เขามักปิดตาราวกับว่ากำลังหลับใหล
-
เออห์เทร็ดกับนักบวชของเขามีแผนการลับเป็นของตัวเอง มันยากนักที่จะตีความบันทึกทางศาสนาที่อาจไม่ใช่เรื่องจริงเสียด้วยซ้ำ ข้าไม่ได้ด่าศาสนานะ ข้าแค่ด่าการเลือกคำอันคุยโวโอ้อวดเพียงเท่านั้น ทุกอย่างมันก็ 'บริสุทธิ์' และ 'สว่างจากแสงดารา' และ 'เปล่งประกาย' มันทำให้การรวบรวมหลักฐานร่องรอยต่างๆ ช่างน่าหงุดหงิดนัก แต่อย่างน้อยมันก็มีสถานที่ของภาคีถ้วยจอกอยู่แห่งหนึ่ง เราจะไปตามอะไรกันดีล่ะเอ็กไซล์?
-
เออห์เทร็ดคิดแผนหลอกลวงมามากมาย ซึ่งขณะนั้นเขาส่งบุตรชายของเขา โอเว็น กลับไปยังบ้านเกิดเพื่อเลี่ยงการลงโทษ ในสัปดาห์หนึ่งหลังการเก็บเกี่ยว ในช่วงเย็นอันเยือกเย็น นักบวชสิบสองคนเฝ้ารอออลรอธภายนอกคุ้มของเขา พวกเขาใช้มีดศักดิ์สิทธิ์เสียบแทงออลรอธในสภาวะที่เขาเดินละเมอ เขาถูกแทงไปเสีย 71 แผลแล้วร่วงลง วอราน่าปรี่พุ่งมาราวกับสายลมสีดำ กุดหัวคนทั้งสิบสองในการตวัดอาวุธเพียงครั้งเดียว
-
ออลรอธถูกวางไว้บนแคร่ เขาถูกพยาบาลไปด้วยยา ผ้าพันแผล กับสมุนไพรต่างๆ กลุ่มชนต่างเรียกร้องให้คณะนักบวชชดใช้ด้วยเลือด แต่เออห์เทร็ดอ้างว่าเขาไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับผู้ทรยศทั้งสิบสอง ผู้นำผู้ใหญ่ยิ่งของกลุ่มชนใกล้กับความตาย พวกเขาผนึกเขาไว้ในโลงแก้วเพื่อกันไม่ให้ลมหายใจของเขาหลุดรอดออกไป
-
ผู้หญิงที่คลุมหน้าได้พูดกับเออห์เทร็ดในจัตุรัส ภายใต้หอกที่ปักศีรษะของปีศาจตาเปล่าเอาไว้ "ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเหล่านักบวชของเจ้าได้ดักโจมตีออลรอธเช่นนั้นเล่า?"
เออห์เทร็ดตอบกลับ "ทำไมเจ้าถึงคิดว่าออลรอธหายไปในความมืดมิดเล่า? เขาเป็นหัวหน้าคนใหม่ของภัยสยองอันผิดเพี้ยน เขาต่อสู้ให้กับเราในยามกลางวัน เขาต่อสู้ให้กับพวกมันตอนกลางคืน"
ผู้หญิงคนนั้นได้ดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกมา เผยตนว่าเป็นวอราน่า ผู้นำแห่งเคียวดำ เธอตอบ "ข้าควรจะฆ่าเจ้าให้ตายจากที่เจ้าพูดไว้ตรงนี้"
ด้วยเคียวที่จ่อคอหอย เออห์เทร็ดตอบ "หากเจ้าต้องการฆ่าข้า ก็เชิญฆ่าในหนึ่งสัปดาห์ หากศัตรูของเรานั้นไร้ระเบียบไร้ชีวิตชีวาในยามที่ออลรอธอยู่ในโลงกระจก เจ้าจะรู้ว่าที่ข้าพูดนั้นเป็นเรื่องจริง"
วอราน่าให้คำมั่น "หากเจ้าคิดผิด ข้าจะเอาหัวเจ้าไปป้อนให้กับปีศาจตาเปล่าตรงนี้ด้วยตัวเอง"
แล้วเธอก็จากไป ในสัปดาห์นั้นศัตรูมิได้ไร้ระเบียบหรือไร้ชีวิตชีวาแม้แต่น้อย เออห์เทร็ดหนีเข้าไปหลบซ่อนในสถานที่ดึกดำบรรพ์อันทรงพลังแห่งหนึ่ง -
ในสัปดาห์ที่วอราน่าได้ให้คำมั่น ก็มีผู้นำคนใหม่ในหมู่ภัยสยอง มันถือขวานสองเล่ม และมองหาเหล่าวีรชนที่ได้สร้างชื่อแก่ตนเอง โดยท้าทายให้พวกเขาต่อสู้เป็นการส่วนตัว มันสังหารไป 42 คน คืนละคน เมื่อวอราน่าได้เผชิญกับสิ่งชั่วช้าเช่นนี้ เธอเข้าใจว่ามันคือเม็ดเว็ด ชายที่เธอรัก แต่เธอไม่อาจเชื่อได้ลง เธอสั่งให้ถอยกำลัง และไม่ยอมรับคำท้าทายครั้งนี้ มีสองหมู่บ้านที่ถูกทำลายสิ้น
-
เมื่อเธอเข้าใจว่าเออห์เทร็ดคิดถูกที่พูดจาเลวร้ายต่อเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ เธอส่งคนเดินสารไปพูดคุยกับเขา เธอคิดแผนที่จะปรับเพลิงทริสเกียลแล้วดึงม่านพลังแสงดารากลับมา มันจะได้คุ้มครองหมู่บ้านไม่กี่แห่งอย่างสมบูรณ์ แทนที่จะคุ้มครองทั้งเขตอย่างอ่อนแอ กลุ่มชนผู้รอดชีวิตถูกอพยพไปยังกลางแผ่นดิน และวอราน่าพบพิธีกรรมปรับเพลิงที่ถูกต้องในบันทึกของออลรอธ เธอส่งข้อความเหล่านี้ไปให้กับเออห์เทร็ดผ่านผู้ส่งสารของเธอ
-
หมู่บ้านตรงใจกลางนั้นแออัดไปด้วยผู้คนมากมาย ส่วนเหล่านักรบจากกองอัศวินดวงตะวัน เคียวดำ และสิ้นวัฏจักรที่ถูกล้อมรับต่างได้ถอนทัพ ทว่าม่านพลังแสงดารามิได้หดลง แต่มันกลับหายไป วอราน่ารีบวิ่งไปยังแท่นของเพลิงทริสเกียล แต่มันหายไป เรือในท่าเรือต่างถูกเผาทำลายสิ้นจนอับปางไปทุกลำ เว้นแต่ลำเดียวที่ได้ออกจากท่า
เธอตะโกนแก่ปวงประชาว่า "เออห์เทร็ดผู้ทรยศได้ขโมยเพลิงไปแล้ว!"
กลุ่มชนร้องระงมอย่างสิ้นหวังในยามที่ภัยสยองบุกเข้ามาจากทั่วสารทิศ ในเมื่อไม่มีม่านพลังดารา ก็ไม่มีการคุ้มครอง หมู่บ้านใจกลางกลายเป็นปราสาทสุสาน คุ้มภัยและห่อหุ้มไปด้วยกำแพงกับเหล็ก แต่ไม่อาจหนีได้พ้น พวกเราหลายคนหลบหนีไปยังที่ฝังศพของออลรอธ พบว่าโลงแก้วของเขาแตกสลาย เขาได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว และเราต้องเชื่อว่าเขากำลังออกไปต่อสู้ในความมืดมิดเพื่อช่วยชีวิตพวกเรา ไม่ว่าเออห์เทร็ดผู้ทรยศจะอ้างอย่างไรก็ตาม -
วอราน่าส่งผู้ส่งสารไปยังชาวเกาะกับชาวเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครรู้ถึงชะตากรรมของพวกเขา ผู้ป้องกันทั้งหลายต่างอาจหาญ แต่ก็ไม่มีเพลิงที่จะชำระล้างอาหารใหม่ๆ ให้บริสุทธิ์ ความอดอยากคืบคลานเข้ามา และฤดูต่างๆ ก็ผ่านไปอย่างว่องไวยิ่ง วอราน่าทั้งซูบผอมและอ่อนแอ เธอจึงตระหนักว่าการรอคอยนั้นคือความตาย เธอรู้ว่ามีวิธีการที่จะเพิ่มพละกำลังของเธอ เธอจึงทำพิธีกรรมต้องห้าม แล้วฝังมณีเข้าไปในกายของเธอ
-
กาลนั้นเธอลุกขึ้น ออกไปจากกำแพง เก็บเกี่ยวความตายจากพวกภัยสยองยามค่ำคืนด้วยการตวัดเคียวของเธอ พวกมันไม่อาจต้านทานความอาจหาญของเธอได้ เธอเรียกหาพวกเรา "ข้าจะไม่หยุดพักจนกว่าไอ้พวกชั่วช้าพวกนี้จะตายสิ้น!"
พวกเราบางคนเชื่อว่าเธอสามารถฆ่าอสุรกายทุกตัวในแผ่นดินที่ถูกทอดทิ้งแห่งนี้ได้ แต่คนอื่นๆ ไม่ได้มองอะไรในแง่ดีเช่นนั้น หากวอราน่าไม่กลับมา พวกเขายังมีทางออกอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นทางออกที่พวกเราไม่กล้าออกไปตั้งแต่แรก มันเป็นทางออกที่แฝงอยู่ใต้แผ่นดิน เก่าแก่ยิ่งกว่าผู้ที่ชราที่สุด... เราจะต้องรักษาความหวังเอาไว้ นี่ไม่ใช่จุดจบของกลุ่มชนของเราในแผ่นดินนี้ แม้ราตรีจะบังเกิด แต่รุ่งอรุณย่อมตามมาเสมอ -
ในประวัติศาสตร์ช่วงสุดท้ายของกลุ่มชนของเราที่นี่ หัวหน้าผู้บันทึกของเราหลบหนีไปกับผู้รอดชีวิตที่เหลือเพื่อพยายามหลบหนีหายนะที่จะมาถึง นี่คือสมุดปูมเดินทางของเขา เอ็กไซล์! เหมือนว่าภาคีถ้วยจอกพบอะไรบางอย่าง... โบราณวัตถุลึกลับ... เขารู้เพียงว่ากระทั่งคนเก่าแก่ที่สุดยังสัมผัสได้ถึงพลังของมัน แล้วสร้างสถานบูชาให้กับมัน
เออห์เทร็ดหลบหนีไปยังสถานบูชาแห่งนั้นเพื่อหลบหนีความอาฆาตของวอราน่า ผู้รอดชีวิตคิดว่าจะได้พบกับเขาที่นั่น แต่การเขียนหยุดลงก่อนที่จะถึงปลายทาง เราจะย้อนตามรอยเท้าพวกเขาไปไหม? -
จากที่เจ้าได้พบ ขณะที่วอราน่ายืนหยัดสู้จนตัวตาย กลุ่มชนที่เหลือของเราในเวร์แคลส์ทพยายามหลบหนีผ่านสถานที่แห่งหนึ่งที่มีพลัง เออห์เทร็ดรอพวกเขาอยู่ตรงนั้น... แล้วเราก็รู้แล้วว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น เขาเองก็แพ้พ่ายให้กับความคลั่งที่บังเกิดมลทินเช่นกัน เขาคงสังหารพวกเขาทุกคนในเขตนั้น แต่ข้าก็หวังว่าบางคนจะฝ่าเขาแล้วหนีไปได้
แต่ข้าก็มีคำถามหนึ่งที่คาใจ: เออห์เทร็ดเป็นคนแรกที่ประกาศว่ามณีนั้นเป็นของที่ไม่สะอาด จากคำบอกเล่าที่เราพบ เขาไม่เคยใช้มณีเหล่านั้นเลย แล้วเขาเสียสติไปได้ยังไง? เขาพบเห็นอะไรถึงเสียสติไปแบบนี้?