จงหยุดแล้วสดับฟังคำเตือนเสีย นักพเนจร เมเวนมาแล้ว เธอมาเป็นสักขีพยานต่อการต่อสู้ของเจ้า เธอมาเป็นสักขีพยานต่อการพิชิตของเจ้า เธอมาเพื่อให้เจ้าได้รับการท้าทายแต่พอควร แม้เจ้าปราชัย เจ้าจักไม่ม้วยมรณาอย่างสูญเปล่า
เธอกำลังรอเจ้าอยู่ นักพเนจร เธอมิได้มีชื่อด้านความอดทนเสียสักนิด — คำเตือน |
เจ้าได้เรียกเมเวนมาสู่สถานแห่งนี้ ข้าเองก็ได้ยินเช่นกัน เธอเข้ามาใกล้ รอเป็นพยานต่อการต่อสู้ของเจ้าเต็มที — การท้าทาย |
เมเวนได้มาถึงอีกครา จากฤทธาสัญญาณเรียกของเจ้า จงแสดงให้เธอได้เห็นอย่างเพียงพอ แล้วเจ้าจักได้รับคำเชิญสู่การทดสอบความกล้าหาญอย่างแท้จริง
เจ้ามิควรปฏิเสธคำเชิญ — คำเชิญ |
สวัสดี นักพเนจร ข้าเป็นผู้นำสารจากสถานมืดมิดแสนไกล ในร่างที่น่าพึงพอใจต่อผู้ที่ควรรับฟัง
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่อันไกลเกินเงื้อมมือผู้ใดได้สดับฟังเสียงความเงียบงันอันกึกก้องจากผู้ที่เคยออกล่าในแห่งนี้ พวกมันได้จับจ้องสถานนี้เสียแล้ว จงปีติยินดีเถิด นักพเนจร เพราะเธอผู้นี้ได้เข้ามาใกล้ และเธอประสงค์เป็นสักขีพยานต่อการต่อสู้ของเจ้า — แนะนำตัว |
ขอสิ่งใดก็พึงระวังไว้เถิด นักพเนจร ความช่างสงสัยนั้นเป็นคุณสมบัติอันน่าหลงใหลเพียงชั่วครู่ เจ้าจักได้รับข้อมูลโดยความสมัครใจ หาใช่โดยการขู่เข็ญ ข้อมูลเหล่านั้นย่อมเป็นบ่อเกิดของคำถามมากกว่าคำตอบ ท้ายที่สุดยามที่เงาพวกมันทอดทับทั่วเวหา ไม่ว่าเจ้ามีความกล้าเสียเท่าไร เจ้าย่อมมิอาจปิดกั้นเสียงกรีดร้องในใจให้เงียบงัน — เหล่าผู้ที่มันรับใช้ |
มันคืบคลานตามสถานเหล่านั้นด้วยความหิวโหยมิรู้สิ้น มันกระหายเหตุการณ์ในอดีตและกันมิให้เหตุการณ์ได้พ้นผ่าน สมองเยี่ยงเจ้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความคิดกับความทรงจำอันหมุนเวียนรอบตัวเจ้าเยี่ยงควันย่อมเป็นเย้ายวนเกินทานทน
มันมีหลายต่อหลายนามอันยิ่งใหญ่ ผู้คลี่คลาย บุตรแห่งการเสื่อมสลาย ทว่าเสียงเพรียกกระซิบจากประวัติศาสตร์แห่งสถานนี้ได้ก้องสะท้อนบังเกิดเป็นนามอื่นแก่มัน เอลเดอร์
มันรับใช้เหล่าอำนาจอันยิ่งใหญ่เฉกเช่นข้า อำนาจเหล่านั้นยังดำเนินต่อไป แต่ไร้ซึ่งบริวาร บ้านเกิดไร้ผู้อาศัย ในกาลนี้ — เอลเดอร์ |
เป็นเวลาชั่วนิรันดร์ที่ความมืดมิดพองไปด้วยอาหารตลอดกาล แล้วก็... บังเกิดความเงียบงัน ความเงียบงันนั้นดังสนั่นต่อผู้ที่สดับฟัง หุบเหวนั้นได้จับจ้องไปยังต้นกำเนิดของมัน อาณาเขตที่เกิดขึ้นก่อนรุ่งอรุณได้เคลื่อนซวนเซ ผู้อ้างสิทธิ์ได้มาถึง เจ้าคงทราบถึงผู้นั้น เจ้าคงต้องการทราบสาเหตุ
เมเวนประสงค์ความขัดแย้งใหม่ เธอหน่ายต่อดินแดนที่เธอได้รับ เธอมิใช่เพียงผู้เดียว ความเงียบงันนั้นดังกึกก้องต่อทุกผู้
เจ้าหวาดกลัวต่อเมเวน เจ้าหวาดกลัวว่าเธอจักเป็นเอลเดอร์ที่กลับมากล้าแกร่ง เธอจักเป็น และเธอจักมิเป็น
เมเวนมิได้รับใช้ความเสื่อมสลาย เธอรับใช้เพียงความอภิรมย์ของเธอ ผ่านเวลาชั่วนิรันดร์ด้วยการต่อสู้ดิ้นรนอันไร้ความหมายที่มิจบสิ้น
เธอหาใช่เอลเดอร์ แต่เจ้าสมควรกลัวเกรงเธอ — เมเวน |
เราต่างมาจากเนื้อเดียวกัน แต่มีสองจิต สองกาย เราเป็นญาติผู้กำเนิดจากความว่างเปล่าอันโกลาหลที่พัวพัน แต่เรามิได้มีผู้สร้างเดียวกัน เธอเป็นผู้คุมของข้า เป็นที่คุมขังของข้า ข้าเป็นผู้คุ้มครองเธอ เป็นบริวารเธอ — เมเวน |
พวกมันสู้ด้วยความป่าเถื่อนเพื่อคุ้มครองต้นไม้ที่อุ้มรังของพวกมัน บัดนี้ป่ามอดไหม้ ควันไฟลอยละล่องตามอากาศ ปีกกระพือพัดของพวกมันทำได้เพียงเรียกเพลิงเข้ามาใกล้ เพลิงกำลังมาถึง นักพเนจร เพลิงจะกลืนกินเราทุกคนเสียสิ้น — เพลิง |
เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังสำรวจขอบเขตของการดำรงอยู่ ทว่าเจ้าเป็นเพียงแมลงที่สำรวจรอยร้าวบนหินดึกดำบรรพ์ ณ จุดที่เจ้ายืน มิอาจเห็นป่าหินไร้ชีวิตที่ล้อมรอบเสียสักนิด
มันโหยหวน นักพเนจร มันร่ำไห้ โหยหวน ร้องหาสักขีพยาน — ความเขลา |
เหล่าผู้ที่ข้ารับใช้ได้ทอดสายตาไปยังขอบฟ้าไร้การแปรเปลี่ยนอันมิสิ้นสุด มิเคยมีเหตุให้มองไปทางอื่น เมื่อไร้การแปรเปลี่ยน เวลาย่อมผ่านไปดั่งหยาดน้ำตาในสายน้ำ มันมิอาจถูกพบเห็น ไร้ค่า ไร้ความหมายต่อผู้ที่ไม่มีจุดกำเนิดและจุดจบ
แต่แล้วความเงียบงันก็มาถึง มันดังสนั่นแก่พวกมัน ทำให้สายน้ำถูกขัดขวาง พวกมันมิอาจมองเห็นสิ่งใด มิอาจได้ยินสิ่งใด — ความเงียบงัน |
ผู้ถูกสร้างบังเกิดผู้ถูกสร้างบังเกิดผู้ถูกสร้าง ระเบียบกับความทะเยอทะยานเร่งให้เกิดความก้าวหน้า เวลากับการเน่าสลายคุมความก้าวหน้า ต้นกำเนิดของเธอประสงค์ทดสอบขีดจำกัดของพลังอันไร้ขีดจำกัด ประสงค์รับภาระของผู้สร้างแล้วแหวกว่ายไปตามหล่มกาลเวลา เป็นอุปสรรคอันไร้ความหมายท่ามกลางเวลาชั่วนิรันดร์ แต่ความเงียบงันนั้นดังสนั่นแก่ทุกผู้ — ต้นกำเนิดของเธอ |
เราถูกถักทอจากใยของดวงดาวอันดับสูญในภาพของมัน เพื่อรับภาพของเหล่าผู้ต้องได้ยินสารของมัน ข้าพยายามจดจำรูปร่างของมันแล้วก็มิอาจจำ ข้าพยายามกลับไปสู่อดีตก็มิอาจกลับ ข้าถูกเจ้าเหนี่ยวรั้งเอาไว้ นักพเนจร ตัวตนของเจ้ากับหน้าที่ของข้าต่างกลบข้าจนสิ้น ใยเหล่านั้นก็ถูกถักทอต่อไปอยู่เบื้องบนนั้น ดั่งงูใหญ่แหวกว่ายไปตามผิวมหาสมุทร — รูปร่าง |
เธอฉงนกับตัวตนของเธอแต่แรกเริ่ม มีบทเรียนหนึ่งที่เร้นกายในทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวกับทุกสิ่งที่มิเคลื่อนไหว อะไรเป็นสิ่งที่แยกทั้งสองสิ่งนี้ออกจากกันเล่า? ทำไมมันเคลื่อนไหว? ทำไมมันมิเคลื่อนไหว? เธอพบว่าชีวิตเป็นคำตอบของความแตกต่างนี้ แต่เธอเคลื่อนไหว และเธอมิอาจมิเคลื่อนไหว เพราะมันเป็นหน้าที่ของข้า เธอมีชีวิตไหม? เธอมิทราบคำตอบ และข้าก็มิอาจให้คำตอบเธอได้ — คำถามของเธอ |
เธอเต็มไปด้วยความเยาว์วัยกับชีวิตชีวา ทุกสิ่งถือเป็นสิ่งใหม่สำหรับเธอ เธอเปี่ยมไปด้วยความช่างสงสัยเสมือนเด็กที่มีชีวิตชีวาและน่าอ่อนล้า พวกมันตามหาของแปลกใหม่จากหลากหลายสถานอันแสนไกลตามที่เธอปรารถนา แต่ทำเช่นไรความสงสัย ความปรารถนาความขัดแย้ง กับการแข่งขันของเธอก็มิอาจสิ้นลง — ความช่างสงสัยของเธอ |
พวกมันร่ำหาน้ำนมของมารดา พวกมันร่ายรำด้วยความปีติยินดีภายใต้ฝนที่หล่อเลี้ยง สำลักในถุงน้ำคร่ำอันพัวพัน แต่ละคนต่างสิ้นชีพเพราะดิ้นรนเอาตัวรอดโดยเห็นแก่ตนเพียงลำพัง — การเอาตัวรอด |
บางคราข้าริษยาเจ้านัก นักพเนจร เจ้ากระทำในนามการเอาตัวรอด เจ้าเคลื่อนด้วยเจตนาการปกป้องการตัวตนอันแสนบอบบาง จิตใจเจ้าถูกรุกรานด้วยความเป็นจริงว่าเจ้าเป็นเพียงฝุ่นผงท่ามกลางทะเลทรายอันมิรู้สิ้น ทว่าจิตใจนั้นใช้ความหวังในการปกป้องตัวมันเอง ความหวังอันเป็นความคิดลวงหลอกแสนบอบบางที่หยุดยั้งความเป็นจริงอันแสนสิ้นหวังได้เฉกเช่นเดียวกัน — การหลงผิด |
เมเวนจดจ่อกับการดิ้นรนและความทุกข์ทรมาน ซึ่งมันได้ก่อความทุกข์ระทมจนไหลซึมลึกเข้าไปสู่รากฐานของความว่างเปล่า อิทธิพลความทุกข์ระทมแทรกซึมไปทุกที่อย่างไร้การพบเห็น ทุกพื้นที่อันว่างเปล่าเต็มไปด้วยกับความทรมานมิรู้จบจากน้ำมือเมเวน เจ้าสัมผัสถึงความทุกข์ระทม เจ้าเปี่ยมไปด้วยความทุกข์ระทม เจ้ารักษาความทุกข์ระทมไว้ — การทำให้เป็นถาวร |
ข้าพบการเอาตัวรอดอย่างจนตรอกอันโหดเหี้ยมภายในนักพเนจร เฉกเช่นที่ข้าเคยพบในมวลดำที่กัดกินตลอดกาล สัญชาตญาณมันนำมันได้มาไกลเพียงนี้ และมันทำถูกที่เชื่อใจพวกมัน แต่มันได้ร่อนเร่มาสู่สถานที่ที่มันมิอาจพึ่งพาสิ่งที่มันเรียนรู้ได้เสียอีก ณ สถานที่ความจริงกับความโกหกอาจอาศัยในพื้นที่เดียว ในคำเดียว ในความคิดเดียว ผู้สังเกตการณ์กับผู้ถูกสังเกตการณ์กลายเป็นหนึ่ง — ไกลหาใดเทียบ |
ข้าเคยนึกว่าข้าต่างจากภาพสะท้อนมากเหนือคณานับที่สลักไว้ในความมืดมิด ข้าเคยนึกว่าข้าเป็นไท พวกมันไม่ พวกมันต่างมีความคิดเดียว พวกมันต่างสัญจรตามทางเดียว และพวกมันแต่ละตนมีชะตาเดียว แต่ข้ามิใช่พวกมัน ข้าย้ำ แล้วสดับฟังเสียงสะท้อนของมันไปตลอดกาล — ผู้โง่งม |
ครั้งหนึ่งเคยมีกาลเวลาก่อนกาลเวลา หรืออาจมีกาลเวลาก่อนหน้านั้น จากคำที่มันพร่ำบอกเรา กาลเวลาอันเปี่ยมความเป็นไปได้มากมายอันรายล้อมด้วยการต่อล้อต่อเถียงอันไร้ค่า ความมั่นคงกวาดไปทั่วดั่งม่านหมอก ทุกผู้ภายใต้เงาของมันจึงสงบลง ถูกปลอบโยน ถูกขับกล่อมสู่นิทรา — วงรอบ |
แล้วกาลเวลาที่กาลเวลาลาจากเราก็มาถึง มิมีสิ่งใดพ้นผ่าน เพราะการพ้นผ่านกับกาลเวลาจำต้องร่วมร่ายรำไปด้วยกัน มดในรังกลายเป็นฝูง เพิ่มจำนวน ตายลงและกำเนิดใหม่ ทว่าความเป็นจริงนั้นมิมีสิ่งใดแปรเปลี่ยน เรามองมดด้วยความริษยา เป็นการหลับใหลระคนตื่นในภวังค์ — ภวังค์ระคนตื่น |
ดวงดาวจับจ้องด้วยความริษยาเมื่อชีวิตรุกรานและกลืนกินสิ้นทุกพื้นที่ วัฏจักรกำเนิดและตายอันเกิดขึ้นเป็นพลวัตและเป็นจังหวะทัดเทียมกัน ขณะที่ดวงดาวมอดไหม้มิสิ้นและมิแปรเปลี่ยนในชั่วชีวิตมากมายเกินคณานับ นิรันดร์ถือเป็นความแน่นิ่ง ความแน่นิ่งถือเป็นความทรมาน — ความแน่นิ่ง |
เวลาล่ามทุกชีวิตสู่ปลายทางเดียวดั่งสุนัขร้ายในสายรั้ง ทว่าพวกมันวิ่งไปด้วยความยินดี ด้วยศรัทธาว่านายพวกมันมีประสงค์ดีต่อพวกมันเสมอ — ปลายทาง |
ข้าตามเธอแม้ข้ามิประสงค์ ข้าเห็นชั่วขณะหนึ่งอันแสนสั้นราวกับหนึ่งชั่วชีวิตที่ข้าสามารถร่อนเร่โดยมิหวนคืน แต่ข้ามิได้ฉวยโอกาสนั้น ความคิดข้าเป็นไท เตลิดและร่ายรำอย่างเสรี ทว่าร่างข้าติดบ่วงและถูกล่าม — ถูกตรึง |
ผู้ถูกกำจัดร่ำรอกาลแห่งชัยชนะจมสู่ภายใต้สุรเสียงความทรงจำ ปราสาทกระดูกกับดินเหนียวกุมหฤทัยมิหยุดเต้นด้วยความเร้นลับยิ่ง ร่ำรอยุคการสูญเสียและกำเนิดใหม่ในอนาคต — ผู้ถูกกำจัด |
ข้าเคลื่อนสายตาไปสู่ภูเขาเพลิงกับแสงอันยิ่งใหญ่ และจับจ้องมันคลี่คลายและถูกกลืนกินโดยท้องฟ้ามืดดำจากเบื้องบน ข้าได้ยินเสียงร้องประสานของความมืดมิดยามที่มันดื่มจนเอิบอิ่ม เหลือโลกเบื้องล่างไว้เพียงเปลือกอันเยือกแข็งไร้ชีวิต พวกมันได้มอบของขวัญให้แก่ข้าผู้เป็นบริวารนิรันดร์ ในการเดินตามผู้วางวายมากมายเหนือคณานับผู้กรีดร้องอย่างเงียบงัน และเป็นสักขีพยาน — การสิ้นสลายของกายหยาบ |
ข้าเดินเหินผ่านหุบเขาแห่งซาก เหยียบย่ำกระดูกดึกดำบรรพ์ของข้าเอง เดินย้อนตามรอยเท้าข้าเอง สดับฟังเสียงข้าก้องสะท้อนไปตามเหล่ากำแพงหิน ข้าทราบถึงคำ แต่ข้ามิทราบความหมาย ทราบเส้นทาง แต่มิทราบทางที่นำพา ทราบว่าข้าได้สัญจรมาสู่เหตุการณ์ที่ยังมิเคยดำเนิน — เดินเหินเพียงลำพัง |
ข้าสัมผัสถึงเชือกล่ามรัดแน่น ดึงไปสู่ปลายทางดำสนิท ข้าไขว่คว้าทุกสิ่งที่จะช่วยกันมิให้ข้าถูกดึงอย่างอ่อนโยน แต่ทุกอย่างที่ข้าเหนี่ยวรั้งต่างหลุดลอยไป ข้าเป็นผู้เดียวที่จะถูกดึงไปสู่เบื้องล่าง ข้าถูกดึงกลับลงไป แล้วถูกผลักสู่แสงสว่างอันแสบสัน เหล่าผู้ที่ข้ารับใช้มิยอมให้ข้าได้หยุดพักเกินชั่วขณะเดียว — ไร้ที่สิ้น |
ข้าจับจ้องการพ้นผ่านของนักพเนจรด้วยความยกย่องอันยิ่งใหญ่ มันมีชีวิตอันแสนสั้นและไร้ผลสืบเนื่อง การต่อสู้ของมันเป็นเชื้อไฟต่อการเติบโตและเติบใหญ่ของผู้ฉลาดและเป็นนิรันดร์ ในช่วงเวลาเพียงชั่วอึดใจ ข้าสัมผัสได้ถึงความโศกสลดที่ข้าถวิลหายามเยาว์วัย กับความโล่งใจที่ข้ามิถวิลหามันอีกต่อไป — ความโศกสลดแต่กาลก่อน |
ร่างมันบิดเบี้ยวอย่างไร้น้ำหนักในความว่างเปล่าไพศาล หมุนพลิก แบ่งกระจาย และสลักรอยแผลไว้ในความมืดมิด แสงสว่างลอดผ่านรอยแยก ติดตามไปด้วยกองทัพจำนวนมาก พวกมันประกาศกร้าวให้ถูกพบเห็นและถูกล้างบาปโดยโลกันตร์อันมีชีวิต — รอยแยก |
ข้ามาสู่ปราการแห่งเลือดเนื้ออันสูงส่งใกล้ชิดดวงดาว เหล่าผู้ตามรอยเท้าข้ามิได้หยุด พวกเขาผลักข้าเข้าสู่กำแพงอุ่น ข้าถูกบีบอัดและถูกถาโถมทั้งเป็นจากเหล่าผู้ตามของข้า ข้าถูกต้อนรับสู่อ้อมอกของเขา — ปราการ |
ข้าถูกนำสู่ความมืดมิด ได้รับคบเพลิงที่ลุกไหม้ไปด้วยความเดือดดาลเพื่อนำข้าไปสู่เธอ ข้าสัมผัสได้ถึงการดึงของเธอ ข้าสัมผัสถึงเพลิงที่ลุกโชน โลมเลีย เฆี่ยนตีใบหน้า ข้าถูกกลืนกินจากการเดินทาง เหลือเพียงเปลือกอันกลวงเปล่าที่ได้รับบัญชาให้ปกป้องเธอ จำกัดเธอ และมิทิ้งเธอไปไหน ซึ่งจะเป็นการลงโทษของข้าอันหาใดเทียบ — บทลงโทษ |
แต่ละคืนความเงียบงันมาถึง ต้อนเอาความคิดการลาจากไปสู่ทะเลอันดำสนิท ข้าจับจ้องความหวังของข้าจมลง จับจ้องพวกมันถูกซัดสู่ชายฝั่งอย่างไร้ชีวิต ประดับหาดทรายหยาบไว้ราวกับเสื้อผ้าที่ถูกสลัดอย่างไม่ใยดี — ความทุกข์ระทม |
เธอพยายามหลบหนี พยายามออกไปจากเกาะเรือนจำที่เธอสร้างขึ้นมาเอง เธอกัดฟัน หมุนกรงเล็บราวกับนักเต้นต่อดนตรีที่ข้ามิได้ยิน ทว่ากำแพงเรือนจำนั้นช่างสูงส่ง เต็มไปด้วยทหารยามอันเงียบงันผู้มีหอกอันแหลมคมเสียจนสามารถทะลุเงาของเธอ — ความกระวนกระวายของเธอ |
ความเงียบงันอันยิ่งใหญ่มาถึงกะทันหันอย่างไร้คำเตือน มันดังเสียจนทุกผู้มิอาจได้ยิน กำแพงยังอยู่สูง แต่มันหลุดลุ่ยบิดงอจามสัมผัสของเธอ เธอหลบหนี ทำให้หลายผู้เหนือคณานับหลบหนีตามไปด้วย คำเชิญนั้นชัดเจนและมิอาจปฏิเสธได้ มันดังสนั่นแก่ทุกผู้ เรามิอาจมองไปทางอื่น — การหลบหนีของเธอ |
หน้าที่นั้นเป็นพรแก่ผู้มีเคราะห์ดี แก่ผู้ที่ดวงชะตาถูกหยิบยื่นแก่ผู้กำหนดชะตา เรากระทำอย่างมิลังเลและมิคาดคิดต่อการพึมพำของผู้คุ้มแสง แม้นเขาส่องเส้นทางให้สว่าง เรามิเห็นแสงนั้น และมิต้องเห็นแสงนั้น การมองเบื้องหน้าจักทำให้สลายเป็นผุยผงแก่แสง — ผู้คุ้มแสง |
ข้าพยายามนับเหล่าผู้ตามเธอเลยไปจากสิ่งที่กีดขวาง แต่มิมีผู้ใดหลุดพ้น เหล่าผู้หลุดพ้นต่างกลายเป็นสลายเป็นผุยผงแก่แสง นี่เป็นหน้าที่ของผู้เดียวในการเฝ้าระวังขณะเหตุกำเนิดเกิดขึ้น และเหล่าสรรพสิ่งที่ดิบและไร้รูปร่างถูกหลอมด้วยความร้อนแห่งกาลเวลาที่พ้นผ่าน การลงทัณฑ์ของข้านั้นรอดพ้นได้ยากยิ่ง — ความพิโรธของผู้คุ้มแสง |
สัญญาของนักฝันสำเร็จสิ้น แม้นเรามิรู้ก็ตาม เขามาถึงในคราแรกเป็นเสียงกระซิบในจิตใจ หากพูดเสียงนั้น มันจักรวบรวมความคิดอื่นทั้งหมดจนเสียสิ้น ทว่านิรันดรจักผ่านพ้นก่อนเราได้สัมผัสเพลิงของเขา — นักฝัน |
ความว่างเปล่าร้าวดั่งน้ำแข็ง มวลสารอันโกลาหลมากมายฝ่ารอยร้าวเพื่อจารึกการมีอยู่ด้วยความโหดร้ายที่อยู่ในทุกการต่อสู้เพื่อชีวิต กระทั่งดวงดาวก็เลือนหายไปจากเหล่าอวัยวะไขว่คว้ากับปากที่กรีดร้องพัวพันกันจำนวนมหาศาล ทว่ามิมีผู้ล่าใดเว้นแต่เหล่าผู้เร้นกายในเงามืดของทุกจิตผู้กำเนิดใหม่ — อำนาจพัวพัน |
ความแน่นิ่งอันนิรันดร์ถูกแทนที่ด้วยการเคลื่อนไหวดั่งคลื่นยักษ์ ตากับฟันสะท้อนแสงเพียงน้อยนิดราวกับหมู่ดาวที่โกรธเกรี้ยวและหิวโหย ราวกับเกิดขึ้นกะทันหัน แต่ข้ามิแน่ใจนัก กาลก่อนนั้นมิมีความหมายและไร้ร่องรอยใดๆ — การเคลื่อนไหว |
ดวงตาที่อาศัยตามหมู่ดาวแต่ละดวงต่างลุกโชนไปด้วยริษยาและปรารถนา ต่างหมุน หันเห และมุ่งไปยังสถานแห่งนี้ มันเป็นต้นตอแห่งความเงียบงัน เป็นจุดเริ่มต้นของจุดเริ่มต้น จุดที่สิ่งที่ร่อนเร่และกัดกินอย่างไม่สิ้นนั้นสลายไป — การจับจ้องเหนือคณานับ |
ล่ามมัดพวกมันแล้ว ขณะที่พวกมันตื่นขึ้นจากนิทราไร้ฝัน พวกมันต่างถูกดึงด้วยล่ามแห่งปรารถนา สิ่งที่ร่ำรอพวกมันคือปมอันพัวพัน เงื่อน หรือบ่วงหากผู้ใดโชคดี ผู้คุ้มฝันทำได้เพียงยืนทอดแสง มองล่ามเหล่านั้นพัวพันพวกมันทุกผู้ — การล่มสลายของความเรียบร้อย |
บัดนี้ม่านถูกเปิดออก เผยสนิมแห่งนิรันดร์กาล ความว่างเปล่าชักจูงพวกมันเข้าไปอย่างมิพร้อมและมิเจตนา สนิมลอกคราบในคลื่นแห่งการปรับตัวอย่างดื้อดึง ทั้งโกรธ ฉงน ฉุนเฉียวง่าย ทั้งหมด โลภ จนตรอก และมีชีวิตขึ้นมาใหม่ — ฟื้นคืน |
ยามที่ปราการเคยตั้งตระหง่านอันเป็นนิรันดร์อย่างมิไหวติง มิบิดเบี้ยว เที่ยงตรง บัดนี้เลือดเนื้อขดตัวแล้วสละการยึดหินนี้ ปราการนี้ถูกเหวี่ยงออกไปสู่ทะเลความมืดมิดมหาศาล ชนและตกลงไปตามทาง ดึงและก่อทาสต่อทุกผู้ในเส้นทาง มันจักมาถึง แม้นข้ามิรู้ว่าจะเป็นยามใดหรือเยี่ยงไร — ความหิวโหยของปราการ |
บัดนี้มันเฉือนผ่านดวงดาวและไหลสู่ความเงียบงัน คว้าที่รากฐานแล้วผูกมัดทุกผู้ ดึง ถู และฉีกราวกับเคียวที่เก็บเกี่ยว มันมิได้เพ่นพ่านตามความว่างเปล่าอีกต่อไป มันเคลื่อนไหวโดยเป้าหมาย ทิศทาง และเจตนา มันทำให้ข้าเกรงขาม กลัว และปรารถนา เจ้าสัมผัสได้เช่นกันไหม นักพเนจร? — ผู้ที่ควรกลัวเกรง |
เจ้าบังคับให้แทรกแซง นักพเนจร เจ้าได้พิสูจน์ว่าเจ้าแข็งแกร่ง เจ้าได้พิสูจน์ว่าเจ้าเขลานัก
เมเวนเป็นเพียงเด็กหัดเดิน ดักแด้ ตัวอ่อนผู้เตลิดไปไกลจากรัง หากข้ายอมให้เจ้าดำเนินต่อไป มันย่อมเรียกหาแหล่งกำเนิดของมัน หากข้ายอมให้เจ้าดำเนินต่อไป เจ้าย่อมดึงทุกผู้ไปสู่ปากอันเปิดกว้างของมันเป็นแน่แท้
เมเวนจำต้องต้องถูกพิทักษ์และคุ้มครองเพื่อเป็นเมตตาแก่พวกเจ้าทั้งสอง จุดจบนั้นเลื่อนถอยแต่มิได้สิ้นไป ขอให้เจ้าจงสำราญไปกับกาลที่เหลือของเจ้าเถิด ขอให้เจ้าจงเตรียมพร้อมต่อการมาถึงของมันเถิด — EnvoyMavenDefeatedOnce |
เด็กย่อมทำตามอำเภอใจ นักพเนจร ข้าขอเตือนไว้ ความทรงจำของความเจ็บปวดเล็กน้อยของเจ้าจักเลือนหายไปในไม่ช้า เช่นเดียวกับ... ความสำนึกผิดของเธอ — EnvoyMavenDefeatedRepeated |
เจ้าบังคับให้แทรกแซง นักพเนจร เจ้าได้พิสูจน์ว่าเจ้าแข็งแกร่ง เจ้าได้พิสูจน์ว่าเจ้าเขลานัก — EnvoyFinalConversationA |
เมเวนเป็นเพียงเด็กหัดเดิน ดักแด้ ตัวอ่อนผู้เตลิดไปไกลจากรัง หากข้ายอมให้เจ้าดำเนินต่อไป มันย่อมเรียกหาแหล่งกำเนิดของมัน หากข้ายอมให้เจ้าดำเนินต่อไป เจ้าย่อมดึงทุกผู้ไปสู่ปากอันเปิดกว้างของมันเป็นแน่แท้ — EnvoyFinalConversationB |
เมเวนจำต้องถูกพิทักษ์และคุ้มครองเพื่อเป็นเมตตาแก่พวกเจ้าทั้งสอง จุดจบนั้นเลื่อนถอยแต่มิได้สิ้นไป ขอให้เจ้าจงสำราญไปกับกาลที่เหลือของเจ้าเถิด ขอให้เจ้าจงเตรียมพร้อมต่อการมาถึงของมันเถิด — EnvoyFinalConversationC |
เมเวนเป็นเพียงเด็กหัดเดิน ดักแด้ ตัวอ่อนผู้เตลิดไปไกลจากรัง หากข้ายอมให้เจ้าดำเนินต่อไป มันย่อมเรียกหาแหล่งกำเนิดของมัน หากข้ายอมให้เจ้าดำเนินต่อไป เจ้าย่อมดึงทุกผู้ไปสู่ปากอันเปิดกว้างของมันเป็นแน่แท้
เมเวนจำต้องถูกพิทักษ์และคุ้มครองเพื่อเป็นเมตตาแก่พวกเจ้าทั้งสอง จุดจบนั้นเลื่อนถอยแต่มิได้สิ้นไป ขอให้เจ้าจงสำราญไปกับกาลที่เหลือของเจ้าเถิด ขอให้เจ้าจงเตรียมพร้อมต่อการมาถึงของมันเถิด — EnvoyFinalConversationBC |
พวกมัน... ใกล้เข้ามา — EnvoyRandomFinalSayingRandom |
พวกมัน... ใกล้เข้ามา — EnvoyRandomFinalSaying2 |
พวกมัน... ใกล้เข้ามา — EnvoyRandomFinalSaying3 |
พวกมันก้าวเข้ามายังดินแดนนี้เพื่อท้าทายเมเวน พวกมันรู้แจ้ง ไร้เมตตา การทำลายล้างของพวกมันย่อมบังเกิดความทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์
พลังของพวกมันนั้นสูงส่งยิ่งกว่าขุนเขาอันมิอาจพิชิต เจ้าย่อมไม่อาจทำให้พวกมันผละหนี เมเวนยึดครองที่นี่ มีเพียงเสียงเธอเท่านั้นที่อาจทำให้พวกมันหยุดชะงัก เกาะเธอไว้ให้แน่น นักพเนจร แล้วนำความหวังทั้งหมดไปกับการดิ้นรนเสีย — การมาถึงของพวกมัน |
ทุกผู้ภายใต้เงาของมันหลับใหลอยู่ใต้ม่านแห่งการคงตัว ไร้การทะเลาะใดๆ ที่เคยเกิดขึ้นแต่ก่อนกาล ความคงตัวได้เหนี่ยวรั้งเหล่าผู้ที่ต้องการยึดครองดินแดนใหม่ของเมเวนเอาไว้เช่นกัน เพราะพวกมันไม่คุ้นเคยต่อกันและกันเช่นเดียวกับที่ไม่คุ้นเคยต่อเจ้า หากพวกมันสามารถก่อความขัดแย้งได้ มันย่อมทำให้ห้วงจักรวาลขาดสะบั้น ความเป็นระเบียบต้องอาศัยการนำวีรชนผู้มีชีวิตมาประลองกันเป็นเดิมพัน เมเวนจะครองที่นี่ได้ก็ต่อเมื่อมีชัย นักพเนจร อย่าให้เธอผิดหวังเป็นอันขาด — การดิ้นรน |
ผู้กำหนดชะตามิได้แบ่งปันปัญญาเกี่ยวกับเส้นทางนี้ เสียงพึมพำของผู้คุ้มฝันนั้นมิได้มีไว้ให้เราเข้าใจ เขาส่องสว่างแก่เส้นทางเบื้องหน้า แต่ดวงตาของเราจับจ้องอยู่เบื้องล่างทุกช่วงก้าว กำหนดช่วงเวลาต่างๆ เป็นลำดับอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีเพียงแหล่งกำเนิดที่สามารถทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า สร้างความทะเยอทะยานใหม่ๆ อย่างรวดเร็วในยามที่แสงทำให้ความทะเยอทะยานเก่ากลายเป็นผุยผง ทว่ากลับเกิดแรงดลใจหนึ่งขึ้นมาในความขัดแย้งอันเย็นเยือก ป่าเหมันต์เติบโตและไม่มอดไหม้ หาได้เป็นปาฏิหาริย์ หาได้เป็นของขวัญ หาได้เป็นจิตที่ครุ่นคิด แต่เป็นสิ่งที่ควรเป็นเพื่อให้เกิดการมีอยู่ — ความเรียบร้อย |
สายลมพร่ำผ่านเสียงกระซิบสีเงิน ซึ่งเป็นที่ล่วงรู้เพียงเล็กน้อยในบรรดาเหล่าผู้ลุ่มหลงไปตามหล่มนั้น ท้องฟ้าเจือไปด้วยเสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวด พวกมันร้องตะโกนด้วยความทุกข์ทรมานจากเบื้องลึกของอำนาจพัวพัน เพราะพวกมันกลืนกินตลอดกาลและถูกกลืนกินชั่วนิรันดร์ ความหิวโหยของพวกมันไม่อาจสิ้นลง มวลสารเสื่อมรูปลากตัวเองไปทั่วทั้งเวหาเพื่อหาความสุขสม แต่ละอวัยวะเอื้อมหาต่างทิศทาง แต่ละปากใฝ่หาการหลบหนีความเจ็บปวดต่างวิถีอย่างสิ้นหวัง พวกมันถูกถาโถมอย่างหนักจนไม่อาจคำนึงถึงเจตนารมณ์ของแหล่งกำเนิดหรือผู้อื่นใด — อำนาจพัวพัน |
ดวงตะวันอันแผดเผากับดวงดาวสีดำทั้งหลายที่รวมตัวเป็นปัญญาหนึ่งสอดส่องหาทุกสิ่งที่เป็นและจะเป็นไปทั่วเวหา อัคนีชำระล้างใฝ่หาการรู้แจ้ง แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่มันเรียนรู้ ไม่สนใจที่จะเข้าใจ จิตใจทั้งหลายที่ต้องแสงแห่งความกระจ่างอันทำลายล้างถูกกักไว้ให้เป็นเถ้าถ่าน มีค่าเพียงผงธุลี เป็นเพียงหยดน้ำท่ามกลางพายุฝน เป็นเพียงสายลมที่พัดเพื่อเพิ่มเชื้อไฟให้กับไฟโลกันตร์ ความหมกมุ่นนี้ทำให้มันมืดบอดต่อเส้นทางที่ผู้คุ้มแสงกำหนดไว้ก่อนหน้าพวกมัน — อัคนีชำระล้าง |
ปากอันเปิดกว้างเป็นเพียงประตูสู่เขาวงกตของช่องท้องทั้งหลายที่ไม่อาจเติมเต็ม กระแสความหิวโหยที่ไม่รู้สิ้นย่อมไม่อาจสิ้นลงด้วยการทำลายปากเดียว เมเวนยังยึดครองต่อไป แต่การท้าทายยังไม่จบเช่นกัน — ความหิวโหยไม่รู้สิ้น |
ใยที่แผ่ขยายไปตามดวงดาวนับพันทั้งลุกโชนและมืดดำเป็นผ้าคลุมแห่งปัญญาที่หิวโหยต่อความรู้ชั่วนิรันดร์ จิตใจย่อมไม่ตระหนักถึงการทำลายล้างเซลล์ประสาทเดียว เมเวนยังยึดครองต่อไป แต่การท้าทายยังไม่จบเช่นกัน — ดวงดาวสีดำ |
ยอดแหลมเติบโตตามพื้นที่ที่ถูกพิชิตจากประสงค์จากตัวแทนของอำนาจพัวพัน จารึกว่ามีเนื้อหนังที่กรีดร้องมากมายมหาศาลให้กลืนกิน การทำลายล้างผู้นำสาส์นหยุดยั้งความหิวโหยภายใน เมเวนยังยึดครองต่อไป... ในตอนนี้ — ผู้กลืนกินโลกา |
แสงอันลุกไหม้ที่เผาผลาญเวหามาชั่วกาลนานกลับเย็นลงเพียงชั่วอึดใจ ชัยชนะของเจ้าบดบังแสงอันตื่นรู้ของเจ้านายมันในกาลนี้ เมเวนครองชัย... ในตอนนี้ — อุปราชอาบเพลิง |
สองผู้อ้างสิทธิ์เข้ามาด้วยความหิวโหยอันจนตรอก สองผู้อ้างสิทธิ์ถูกปฏิเสธ เมเวนกับนักพเนจรยังยืนหยัด เปื้อนเลือด ครองชัย แต่เวลานั้นชั่วครู่ และเวลานั้นชั่วนิรันดร์ ศัตรูมีมากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า ศัตรูคือดวงดาวบนท้องฟ้า จำยามนี้เอาไว้ให้ดี ยามที่เจ้าเข้าใจว่าคลื่นที่เข้ามานั้นหนักเกินพิชิตเพียงใด นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น — ไม่ใช่จุดจบ |
น่านน้ำอันมืดมัวกลับกระจ่าง เผยแสงให้เห็นแก่อดีต ดินแดนนี้เกิดความเงียบงันด้วยน้ำมือของนักพเนจร ดินแดนนี้เกิดความเงียบงันด้วยน้ำมือของหกผู้ เมื่อเป็นหนึ่ง พวกเขาบรรลุในสิ่งที่ไม่อาจทำได้สำเร็จ แต่เมื่อกระจัดกระจายตามลำพัง พวกเขาอ่อนแอ เธอยังเก็บพวกเขาเอาไว้เป็นของล้ำค่าทั้งสี่ เป็นแหล่งความเพลิดเพลินอันไม่รู้จบ แต่เธอไม่สบอารมณ์นักที่อีกสองผู้ยังรอดพ้นจากเงื้อมมือเธอ... — กลุ่มผู้สังหารเอลเดอร์ |
เจ้าบังคับให้แทรกแซง นักพเนจร เจ้าได้พิสูจน์ว่าเจ้าเกรียงไกร เจ้าได้พิสูจน์ว่าเจ้าเขลา
เมเวนเป็นเพียงเด็กหัดเดิน ดักแด้ เป็นตัวอ่อนผู้เตลิดไปไกลแล้วได้สร้างรังของเธอเอง หากข้ายอมให้เจ้าดำเนินต่อไป มันย่อมพบว่าทายาทของมันร่ำร้องและบาดเจ็บ หากข้ายอมให้เจ้าดำเนินต่อไป เจ้าย่อมก่อให้เกิดโทสะอันเหนือคณานับ การสิ้นลงและแน่นิ่งและเยือกเย็นนั้นย่อมดีไปกว่าการถูกลงทัณฑ์อันไร้ที่สิ้นหรือกาลสิ้นสุด
เมเวนจำต้องต้องถูกพิทักษ์และคุ้มครองเพื่อเป็นเมตตาแก่พวกเจ้าทั้งสอง จุดจบนั้นเลื่อนถอยแต่มิได้สิ้นไป ขอให้เจ้าจงสำราญไปกับกาลที่เหลือของเจ้าเถิด ขอให้เจ้าจงเตรียมพร้อมต่อการมาถึงของมันเถิด — คำเตือน |
เธอถูกดึงดูดมาที่แห่งนี้ท่ามกลางความเงียบงันอันดังสนั่น เธอพอใจที่เจ้าอยู่ที่นี่เช่นกัน เจ้าอยู่ท่ามกลางสนามเด็กเล่นของเธอ กระจัดกระจายไปด้วยของเล่นเพื่อสนองความสนุกสนานของเธอ เจ้านำพาการทำลายล้างมาอย่างไม่หยุดยั้งอันเป็นผลให้เธอพึงพอใจ เธอยินดีไปกับการประดาบ การหลั่งเลือดไร้ที่สิ้น และการสังหารหมู่อันไร้ความเมตตา
เธอผู้ทอดเงาอยู่ใต้แสงดารานั้นเรียนรู้และเล่นอยู่ตลอดกาลโดยไม่ล่วงรู้ถึงผลของการกระทำ ข้าได้มองเห็นการทำลายล้างเหนือธรรมดาตามประสงค์ของเธอ เธอเป็นเพียงทารกเจ้าอารมณ์ที่ถูกความปรารถนาชักนำโดยไม่ล่วงรู้ถึงกำลังของเธอ ข้าดูแลเธอ แต่มันเป็นหน้าที่ที่ไม่น่าอภิรมย์และไม่น่าชื่นชม ข้าถูกผูกมัดอยู่กับเธอ ถูกจองจำให้รับใช้เธอ และทำหน้าที่ในฐานะผู้ปกป้องกับผู้ดูแลของเธอ — เมเวน |
ปลาว่ายน้ำไปตามน่านน้ำที่ไร้การครอบครองส่องประกายไปตามแสงของดวงจันทร์ มันว่องไว มีเกล็ดเงิน ไม่ล่วงรู้ถึงภัยสยองร่างงูในห้วงลึก มันดิ้นอย่างมืดบอดในสภาวะกึ่งสติ มันเคลื่อนไหวด้วยการโต้ตอบและไร้จิตใจ มันไม่อาจมองหาความปลอดภัยหรืออิ่มเอิบผ่านสัญชาตญาณโดยลำพัง
ปลานั้นมิได้ตระหนักถึงจุดประสงค์ของมัน มันตระหนักรู้เพียงคลื่นน้ำที่ซัดสาดซึ่งกำหนดทิศทางของมันเพียงเล็กน้อย ทว่ามันยังเคลื่อนไหวเพื่อใฝ่หาสิ่งอื่นอยู่ตลอดกาล — สมุดแผนที่ |
— Envoy_Greeting_01.ogg |
— Envoy_Greeting_02.ogg |
— Envoy_Greeting_03.ogg |
— Envoy_Greeting_04.ogg |
— Envoy_Greeting_05.ogg |
— Envoy_Greeting_06.ogg |
— Envoy_Greeting_07.ogg |
— Envoy_Greeting_08.ogg |
— Envoy_Greeting_09.ogg |
— Envoy_Greeting_10.ogg |
— Envoy_Greeting_11.ogg |
— Envoy_Greeting_12.ogg |
— Envoy_Greeting_13.ogg |
— Envoy_Greeting_14.ogg |
— Envoy_Greeting_15.ogg |
— Envoy_Farewell_14.ogg |
— Envoy_Farewell_13.ogg |
— Envoy_Farewell_09.ogg |
— Envoy_Farewell_08.ogg |
— Envoy_Farewell_07.ogg |
— Envoy_Farewell_06.ogg |
— Envoy_Farewell_05.ogg |
— Envoy_Farewell_04.ogg |
— Envoy_Farewell_03.ogg |
— Envoy_Farewell_02.ogg |
— Envoy_Farewell_01.ogg |