Lore
- The Conquerors of the Atlas
- The Nature of the Atlas
-
"ผู้สำรวจกลุ่มแรกเดินทางมาสู่เนินเขาเพื่อค้นพบละแวกรอบๆ
พวกเขาจ้องมองด้วยความพิศวงยามที่แผ่นดินกระเพื่อม กระทบกัน และบิดเบี้ยว" -
"ในที่ใหม่อันประหลาดนี้มีฤดูที่มิใช่ตะวันกับหิมะ
ฤดูหินที่ขึ้นลงดั่งคลื่นทะเล
ฤดูสิ่งปลูกสร้าง การเติบโต ความบ้าคลั่ง และความโกลาหล
ฤดูการกำเนิดและเสื่อมสลายที่เหมือนจะไม่ยึดโยงกันด้วยเหตุผล" -
"มีกาลหนึ่งที่ใครต่อใครคิดว่าที่นี่จะเป็นบ่อเกิดจักรวรรดิ
ยิ่งใหญ่ไปกว่าจักรวรรดิใดในประวัติศาสตร์
พวกเขาต่างนึกว่าตนสามารถกำราบแผ่นดินให้เชื่องได้
ทว่าเช่นเดียวกับทุกสิ่งที่อยู่ที่นั่น อำนาจควบคุมเป็นเพียงภาพลวงตา" -
ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าจะบอกเจ้าว่าแผนที่มันเป็นสิ่งที่สวยงามที่เต็มไปด้วยวิทยาการ มนต์มณี และจินตนาการ ข้าเพียงแค่นึกภาพสถานที่ข้าก็สามารถดลบันดาลผลทางไปหามันได้
ข้าเคยคิดว่ามันเป็นสวรรค์ที่รอให้เกิดขึ้นจริง แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือเหยื่ออันโอชะที่รออยู่ใต้กรงขังขนาดใหญ่ยักษ์ ถึงแม้นายพรานจะไม่มีตัวตนอยู่แล้วก็ตาม แต่กับดักเหล่านี้ก็ยังทำงานอยู่ -
สมุดแผนที่นี้มีปรากฏการณ์ประหลาดมากมาย ที่ประหลาดน้อยที่สุดที่ข้าพบในนั้นก็คือวัฒนธรรมสะท้อนจากเวร์แคลส์ท ข้าได้เจอกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่ง ถ้าเราปล่อยพวกเขาให้ลอยนวล พวกเขาอาจเป็นเสี้ยนหนามกับพวกเราในภายหลัง เอ็กไซล์ ข้าอยากให้เจ้าตามล่าและกำจัดพวกเขาให้สิ้น
-
ข้าเชื่อมานานว่ามลทินเป็นปรากฏการณ์พิเศษที่มีเฉพาะในเวร์แคลส์ท แต่เมื่อเจ้าได้เห็นดินแดนในสมุดแผนที่เพียงแว้บเดียวเจ้าก็จะสังเกตเห็นสิ่งที่คล้ายกันอย่างน่าใจหาย หรืออาจจะเป็นสิ่งเดียวกันเลยด้วยซ้ำ ที่อยู่ภายในนั้น
มลทินเป็นสิ่งที่มีเฉพาะในเวร์แคลส์ทจริงๆ หรือ หรืออันที่จริงแล้วที่อื่นที่ขาดมลทินนั้นเป็นสิ่งที่พบได้ยากกันแน่? แทนที่เราจะมานั่งคร่ำครวญให้กับทวีปต้องสาปนี้ บางทีเราน่าจะพอใจกับดินแดนที่ไร้มลทินที่เรายังมีอยู่แทนละมั้ง -
ยามที่ข้าตระเวนเข้าไปในสมุดแผนที่เป็นครั้งแรกๆ ข้ารู้สึกว่ายิ่งข้ามีความคืบหน้าเข้าไปเท่าไร ข้ายิ่งมีความเข้าใจต่อธรรมชาติของการมีตัวตนมากขึ้น แต่ตอนนี้ข้าสงสัยแล้วว่ามันอาจเป็นเรื่องกลับกัน
บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าสมุดแผนที่จับตาดูข้า แอบสังเกตข้า เผยสิ่งที่ข้าปรารถนาอยู่ลางๆ เพื่อให้ข้ากลับไปหาสมุดแผนที่นั้นเรื่อยๆ เหมือนว่ายิ่งข้าสำรวจลึกเข้าไปเท่าไร มันก็ยิ่งครอบงำจิตใจของข้ามากขึ้นไปทุกที -
แรกเริ่มเดิมทีข้าเริ่มศึกษาสมุดแผนที่เพื่อเป็นหนทางเข้าใกล้พ่ออันเป็นที่รักของข้า ข้าไม่คิดมาก่อนว่าจะเข้าใกล้ท่านได้ถึงเพียงนี้ แต่พอถึงตอนนั้น ท่านก็ไม่ค่อยมีสติแล้ว...
พอลองมองย้อนกลับไปดู ข้าว่าข้ามองสิ่งที่สมุดแผนที่เป็นต่อใครในแง่ดีมากเกินไป... ก็นะ ต่อทุกคนเลย ข้าจินตนาการนึกถึงโลกที่ไร้พรหมแดน ทรัพยากรที่ไร้ขอบเขต ดินแดนสุดลูกหูลูกตาให้ทุกคนได้ใช้ชีวิต
แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าสิ่งนั้นมันแลกมาด้วยราคาที่ยอมจ่ายไม่ได้ การเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นคือการทำให้ตัวเองตกอยู่ในความบ้าคลั่งแสนพรรณนา เป็นคุกสุดร้ายกาจที่หนีออกมาไม่ได้ มันจะคอยเกาต่อมความปรารถนาสุดแรงกล้าของเจ้า เผยให้เห็นความเป็นไปได้บางส่วนของมัน ซึ่งการยั่วยวนนั้นมัน... มันเป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำได้เพื่อที่จะหยุดตัวข้าเองไม่ให้ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับเพื่อนของข้า
สิ่งที่เราทำอยู่เป็นสิ่งสำคัญแต่ก็เสี่ยงอยู่ไม่น้อย ได้โปรด หากเจ้าเริ่มรู้สึกว่าสุขภาพจิตไม่ดี เจ้าจงบอกข้าทันที -
กลุ่มเอ็กไซล์ที่สังหารเอลเดอร์นั้นหาได้เป็นกลุ่มแรกที่ข้าชักชวนมาเข้าร่วม กลุ่มอื่นๆ เสียสติ หรือไม่ก็ถูกสังหารไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าแต่ละคนก็ยังไปๆ มาๆ อยู่ในนั้น แม้จะตายไปแล้วก็ตาม ข้าว่าพวกเขาไม่เป็นภัยกับเจ้านัก เว้นแต่เพื่อนเก่าของข้าจะเข้าถึงตัวพวกเขาได้ก่อน
-
ข้ากลับมาที่โอริอาทพร้อมกับกองเรือผู้รอดชีวิตกลุ่มแรก เต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ในที่สุดก็จะมีโอกาสได้ใช้ความรู้ความสามารถของข้าทำในสิ่งที่ดี และในระหว่างกำลังบูรณะ เราก็ได้ค้นพบอุปกรณ์ทองคำ -- ข้ามารู้ทีหลังว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของท่านพ่อ
ในตอนแรกข้าหวังว่ามันจะมีประโยชน์กับกลุ่มผู้อยู่รอด แต่เมื่อข้าได้พบเอลเดอร์ ทุกอย่างก็กระจ่างทันทีว่าเบื้องหลังประตูมิตินั่นมีโทษมากกว่าประโยชน์ ข้าได้จัดทีมลับสุดยอดขึ้นมาซึ่งมีเหล่าเอ็กไซล์ที่พิสูจน์ตนในเวร์แคลส์ทแล้วว่ามีความสามารถด้านการต่อสู้ และเริ่มงานเพื่อผนึกเอลเดอร์เอาไว้ ซึ่งในที่สุดเราก็ทำได้เป็นผลสำเร็จ ความรู้สึกโล่งใจในตอนนั้น... มันอธิบายไม่ถูก แต่ทว่า...
สมุดแผนที่เป็นสถานที่อันตราย มันจู่โจมทั้งกายและใจ มันทำให้เวร์แคลส์ทดูเป็นของเด็กเล่นไปเลย ทีมของข้า เพื่อนของข้า พวกเขาได้รับผลจากการเดินทางนี้อย่างใหญ่หลวง และในที่สุดการลุ่มหลงในพลังนั้นก็ได้ทำให้พวกเขาสูญเสียสติ
และอีกไม่นานข้าก็คงจะเป็นไปตามพวกเขา -
ข้าขออภัยที่พูดจาไม่เสนาะหู แต่การเข้าสู่สมุดแผนที่ของเจ้าอาจทำให้มวลมนุษยชาติตกอยู่ในอันตราย
ข้าชื่อซานะ เมื่อนานมาแล้วข้าได้นำกลุ่มเอ็กไซล์อย่างเจ้าเข้าไปในสมุดแผนที่ เพื่อทำหน้าที่สำคัญยิ่งในการกันไม่ให้สิ่งที่เรียกว่าเอลเดอร์เข้ามาสู่โลกใบนี้ได้ แม้ว่าเอ็กไซล์ที่ข้าชวนมาจะเป็นนักสู้ผู้เชี่ยวชาญ การเดินทางนั้นช่างยากลำบาก แต่เราก็ทำสำเร็จ เราสยบเอลเดอร์ได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าเราไม่อาจช่วยชีวิต--... เราก็ยังทำสำเร็จ
ข้านึกว่าพวกเราเสร็จงานกันแล้ว แต่... แต่พรรคพวกของข้า... กลับไปอยู่เรื่อยๆ พวกเขาเข้าสู่สมุดแผนที่ครั้งแล้วครั้งเล่า กำจัดโลกทั้งใบเสียจนไม่เหลือสิ่งใดอยู่ มันไม่ใช่เรื่องของการกอบกู้โอริอาทหรือการค้นพบแล้ว มันเป็นเพียงการ... ฆ่า
สมุดแผนที่ส่งผลต่อกระบวนการคิดของคนคนหนึ่งอย่างประหลาด ตอนแรกข้าคิดว่าความบ้าคลั่งนั้นเป็นอาการของเอลเดอร์ แต่ตอนนี้... ข้ามันใจว่ามันมาจากสมุดแผนที่เสียเอง
แต่เอ็กไซล์พวกนี้แข็งแกร่งขึ้นมาก... ข้าไม่มีทางเลือกใดนอกจากการทำลายทางออกเดียวของเรา ข้าจึงปิดผนึกพวกเราทุกคนแล้วรอให้พวกเราทุกคนได้พบความตาย
แต่ข้ากลับพบเจ้าแทน - Falling Out
-
แลนเดรนที่รัก
ผมเกรงว่าเราไม่มีวันหลุดพ้นจากสถานอันประหลาดนี้ไปได้ ผู้นำทางของเราอ้างว่าเครื่องที่นำพวกเรามาที่นี่นั้นชำรุดและมิอาจซ่อมได้ และเราต้องอาศัยเพียงปาฏิหาริย์จึงจะพบทางกลับบ้าน โชคร้ายที่เราเข้าใจถึงคุณค่าของปาฏิหาริย์
ผมหวังแต่เพียงว่านักสำรวจผู้กล้าหาญอาจพบสถานแห่งนี้ แล้วนำจดหมายนี้ไปส่งให้คุณ แม้ว่ามันอาจผ่านไปจากนี้เป็นพันปีก็ตาม
ผมอยากได้ใช้เวลาร่วมกับคุณอีกนิดหนึ่ง อยากสัมผัสมือของคุณอีกคราเดียว ทว่ามันเป็นลิขิตขอชะตากรรมเฉกเช่นตอนที่เราอยู่ในชั้นศาลว่าหน้าที่ต้องมาก่อนความปรารถนาเสมอ
ขอให้คุณรู้ไว้ว่าผมทำแบบนี้เพื่อให้คุณปลอดภัย
ขอให้คุณมีความสุข
รักคุณตลอดกาล
บาราน - อัล-เฮซมิน ผู้พิชิตเหยื่อ
-
เมื่อเจ้าใช้เวลาในสมุดแผนที่มานานเท่ากับพวกเรา ทักษะการเอาตัวรอดแบบพื้นๆ ก็ไม่เพียงพอ และเราจำเป็นต้องเชี่ยวชาญด้านพื้นที่ต่างๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากเมื่อพื้นที่นั้นเปลี่ยนไปวันต่อวัน แต่ว่าอัล-เฮซมินก็คลุกคลีกับมันได้เหมือนโรอ์ที่คลุกคลีกับดินโคลน ข้านับไม่ได้แน่ๆ ว่ามีกี่ครั้งที่เขาช่วยเหลือให้เรารอดจากถ้ำที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดไม่รู้จบ หรือมองเห็นรอยเท้าของสัตว์ร้ายอันแสนอันตรายเร็วกว่าพวกเราที่เหลือเป็นอย่างมาก
แต่เขาคงจะเหลิงคำชมของเราเสียจนเกินเหตุ เพราะเขาเริ่มผลักดันตัวเองให้เป็นคนที่เก่งที่สดตลอดเวลา หากดร็อกซ์ล่าหมูป่ามาได้สองตัว เขาจะต้องล่ามาให้ได้สามตัว ในการต่อสู้ เขาจะต้องจู่โจมอย่างโดดเด่นและรุนแรงที่สุด และเขาจะทำให้เราทุกคนได้เห็นการลงมือของเขากับตา
ความหมกมุ่นของเขาในการลับฝีมือตัวเองนั้นมีประโยชน์มากขณะที่เราออกต่อกรกับเอลเดอร์ ดังนั้นเราจึงไม่คิดอะไรในตอนนั้น แต่มัน... ทำให้เขากลวงเปล่าในทางใดทางหนึ่ง เขามีความอวดกล้า แต่ขณะเดียวกันก็ขลาดกลัวว่าจะถูกเปิดโปงว่าเป็นคนที่เก่งอันดับสองหรืออันดับสาม ถึงเขาจะบ้าคลั่งเข้าไปทุกที เขาก็ไม่เคยไร้เมตตากับข้า แต่สำหรับนักรบผู้เกรียงไกรที่เป็นภัยต่อภาพลักษณ์ส่วนตัวของเขา... การปะทะกันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงกันไม่ได้ เราแอบหนีไปในยามค่ำคืน แต่ข้าไม่เชื่อว่าเราหนีคนที่มีพรสวรรค์อย่างเขาได้ เขายังอยู่ที่นั่น แอบย่อง แอบมอง รอจู่โจมเมื่อถึงเวลาอันควร... -
คนใหม่: ฉันไม่รู้จักคนนี้ ไม่ได้เคลื่อนไหวเหมือนคนอื่นๆ มีสติมากกว่า เห็นคนนี้คุยกับซานะ ฉันไม่รู้ว่ามาจากไหนหรือไปที่ไหน เหมือนจะแข็งแกร่ง แข็งแกร่งกว่าเอ็กไซล์จำนวนมากที่เราเคยเห็น ถ้าฉันคงจำคนนี้ได้แน่ๆ ถ้าเคยเห็นมาก่อน ซานะอาจปิดบังคนนี้จากพวกเราอยู่
แต่ก็ไม่แข็งแกร่งเท่าฉันหรอก
ฉันจะวางกับดัก ทดสอบคนนี้ แล้วดูว่าคนนี้มันแกร่งขนาดไหนกัน
แล้วฉันจะไปฆ่าดร็อกซ์ - ดร็อกซ์ ผู้พิชิตศึก
-
แผ่นดินอันกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุดแห่งนี้ย่อมมีเนินเขาอันเขียวขจีอยู่เหนือขอบฟ้า ข้าผู้เคยถูกเนรเทศจนไม่เหลือสิ่งใดได้พบดินแดนที่สามารถสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่ได้
ในเมื่อตอนนี้เอลเดอร์กับเชปเปอร์จากไปแล้ว เราสามารถสร้างอาณาจักรที่มีกฎหมายกับความยุติธรรมในที่แห่งนี้ เราสามารถทิ้งการปกครองทหารของพวกเทมพลาร์ได้ เราไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวต่อผู้มีอำนาจอีกต่อไป เพราะข้าจะเป็นผู้นำ และความแข็งแกร่งของข้าจะทำให้กฎหมายจะเท่าเทียมยุติธรรมแก่ทุกผู้
มันอาจเป็นเพียงฝัน แต่มันเป็นฝันที่ข้าทำได้จริงด้วยกำลัง ยิ่งข้าสยบภัยร้ายในแต่ละหุบเขาก็เป็นอีกหุบเขาของประชาชนที่ข้าจะนำมาที่นี่สักวันหนึ่ง พวกเขาจะเป็นอิสระ และข้าจะเป็นนายเหนือหัวของพวกเขาที่ปกครองด้วยความเคารพจากปวงประชา มิใช่ด้วยความเกรงกลัวหรือศาสนาใด
ดร็อกซ์ผู้ทรงธรรม -
แต่ละหุบเขาที่ข้ายึดครองยิ่งเสริมให้แผ่นดินของข้ากว้างใหญ่ยิ่งขึ้น แต่เมื่อข้ากลับมา เหมือนมันจะถูกยึดครองโดยผีร้ายกับจินตนาการอันบิดเบี้ยวอีกครา หมอกนั้นก่อตัวเป็นเดรัจฉานอันเลวร้ายทันทีที่ข้าไปต่อ หรือว่าข้าหาทางกลับมายังทางเดินเดิมของข้าไม่ได้กันแน่? อาณาจักรที่หายไปกับหมอกนั้นมิใช่อาณาจักรแม้แต่น้อย
ทว่าข้าพบว่าหมอกนั้นทำตามความคาดหวังของข้าอย่างแยบยลยามที่ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้น ข้าอาจควบคุมดินแดนนี้ได้อย่างมีเชี่ยวชาญยิ่งขึ้นเมื่อข้ามีอำนาจจนสิ้นสงสัย
ใช่ นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญ ข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่าเดิม เพียงเช่นนั้นอาณาจักรของข้าจึงจะเป็นจริง
ดร็อกซ์ผู้ทรงอำนาจ -
ข้าจู่โจมแรงขึ้นและเคลื่อนไหวเร็วขึ้นในแต่ละครั้งที่ข้าเผชิญหน้า ข้ามักเข้าถึงความลื่นไหลแห่งการศึกเมื่อความเร็วของข้านั้นรวดเร็วไปกว่าหมอกนั้น ข้าสัมผัสได้ภายในอวัยวะข้า มันลุกไหม้ในแขนของข้ายามที่ข้าฟันศัตรูขาดเป็นสองท่อน มันไม่สำคัญอีกต่อไปว่าข้าสู้กับผีร้ายใด มันสำคัญเพียงว่ามันจักสิ้นลมในการตวัดอาวุธเพียงครั้งเดียว แล้วข้าก็จะไปสู่คู่ต่อสู้คนถัดไป
ความฝันนั้นใกล้เข้ามา อาณาจักรเข้าใกล้เงื้อมมือข้าไปทุกที ฝันข้าต้องเป็นจริงให้ได้ แม้ข้าจะต้องต่อสู้อย่างไม่เลิกราไปตลอดกาล อำนาจดิบไหลผ่านกายข้า ความเบิกบานเป็นมิตรข้างกายข้าเสมอ ประชาชนของข้าจะต้องมีบ้านของตัวเอง
ดร็อกซ์ผู้ทรงศึก -
ประชาชนสรรเสริญราชาของพวกเขา! พวกเขาโห่ร้องแก่การครองราชย์ของข้าอันยิ่งใหญ่และทรงพลังยามที่ข้าสังหารศัตรูแต่ละคนอย่างเกรียงไกรหาใดเปรียบ นี่ความคือความยุติธรรม! ดินแดนเสรีแก่เสรีชนผู้ยกมือและส่งเสียงความหวังของพวกเขามาจากหมอกยามที่ข้าทำลายศัตรูที่เต็มไปทั่วแผ่นดินนี้
ในที่สุดเราก็เป็นอิสระ ด้วยพลังของอาวุธของเราและคมอาวุธแห่งความยุติธรรม ข้าจะไม่หยุดพักเพื่อให้ประชาชนเข้ามาร่วมกับเหล่าหุบเขาแห่งสมุดแผนที่แล้วรุ่งเรือง พวกเขาจะรู้จักข้าราวกับพวกเขารู้จักดวงตะวัน ผู้ส่องแสงสีทองแก่เหล่าผู้ที่พบข้า
ดร็อกซ์ผู้พิชิตศึก -
ข้าต่อสู้มามากพอสมควรนะเอ็กไซล์ แต่ข้าไม่เคยพบเห็นใครที่สุขกายสบายใจไปกับสมรภูมิยิ่งไปกว่าดร็อกซ์ แม้เขาจะไม่ใช่ผู้นำของเรา แต่เขาก็เป็นผู้บัญชาการของเรา ยามใดที่ต้องทำการตัดสินใจอันเป็นไปไม่ได้ท่ามกลางการต่อสู้ ดร็อกซ์จะพบทางไปต่อได้เสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขานำเราให้รอดพ้นจากหลายต่อหลายสถานการณ์ที่เรานึกว่าจะถึงตาย พร้อมรอยยิ้มอันไม่ท้อถอยที่บ่งบอกกับเราว่าเขาเชื่อมั่นในตัวพวกเรา
แต่ ณ จุดหนึ่งที่แทบสังเกตไม่ได้ ดร็อกซ์เลิกตัดสินใจให้กับกลุ่มของเรา แล้วยึดมั่นไปกับความฝันใหม่ของเขาเพียงลำพัง รอยยิ้มของเขากลายเป็นความบึ้งตึง เขาจดจ่อกับความคิดอันบ้าคลั่งในการตั้งอาณาจักรภายในสมุดแผนที่ เขาทำตัวเยือกเย็นต่อเวริทาเนีย ทำตัวห่างเหินต่อพวกเราที่เหลือ เขาทุ่มเททุกอย่างในการคุมสมุดแผนที่และการสร้างกฎหมาย ความหมกมุ่นของเขาทำให้เราตกอยู่ในอันตรายเสมอ ข้าไม่อาจทนกับเรื่องนั้นได้
เมื่อข้านำกลุ่มหนีไปจากเขา หากเขาไม่สังเกต เขาก็ไม่สนใจ - เวริทาเนีย ผู้พิชิตบาป
-
ฉันไม่สบายใจกับ 'สมุดแผนที่' นี่แม้แต่น้อย ตอนที่เอลเดอร์กับเชปเปอร์ต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ อย่างน้อยอาณาเขตของพวกมันก็ยังมีความโหดร้ายที่เข้าใจได้ เหล่าสิ่งมีชีวิตผิดวิสัยที่เราต่อสู้ก็ยังมีจุดมุ่งหมาย ในเมื่อตอนนี้จุดมุ่งหมายเหล่านั้นหายไปแล้ว แผ่นดินเหล่านี้คืนสภาพกลับเป็นดินเหนียวโบราณที่ปั้นได้ง่าย ซึ่งจะก่อรูปร่างตามปรารถนาของเราเพื่อเอาอกเอาใจเรา
เมื่อนานมาแล้ว ก่อนที่ฉันจะถูกเนรเทศ ก่อนที่ฉันจะได้สัมผัสความเป็นจริงที่เจือไปด้วยความหยาบช้าของมนุษยชาติ ฉันเดินผ่านโถงกระจกในงานรื่นเริงในธีโอโพลิส ผ่านแสงไฟจากคบเพลิงที่ริบหรี่ ฉันมองเห็นภาพตัวเองสะท้อนไปอย่างไม่สิ้นสุด ท้ายที่สุดก็ภาพนั้นก็มืดมัว แต่มันไม่ได้มืดมัวจากขอบฟ้าใดๆ มันมืดมัวเพราะภาพของฉันมืดและหดเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อมันอยู่ไกลจากภาพสะท้อนของตัวมันเองเข้าไปทุกที
หมอกควันในสมุดแผนที่ก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่มีหมอก ไม่มีความชื้น ไม่มีการบดบัง ไม่มีเมฆหมอกใดที่ปกคลุม มีเพียงเจตจำนงของฉัน ความคิดของฉัน กับความคาดหวังของฉัน สิ่งเหล่านี้ถูกสะท้อนออกมาเป็นภาพสะท้อนนับไม่ถ้วนผ่านพื้นที่อันยิ่งใหญ่เหนือคณานับ สิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์อาจทำให้ที่นี่เป็นสวรรค์ แต่เราเป็นมนุษย์ผู้เอ่อล้นไปด้วยบาป
ความปรารถนาเป็นศัตรูที่แท้จริง
เวริทาเนียผู้ครองวินัย -
ไม่นานนักก่อนที่เราจะเสียไซรัสไป ฉันคงเรียกผองเอ็กไซล์เหล่านี้ว่าเพื่อนหรืออาจเรียกว่าครอบครัวเสียด้วยซ้ำ ผู้ที่เชื่อว่าตัวเองจะตายจะสานสัมพันธ์บางอย่างเอาไว้ มันทำให้เรามีสติ... แต่เราไม่ตาย ไซรัสเสียสละชีวิตตัวเอง เราชนะ
แต่ชัยชนะนั้นแลกกับสิ่งใดเล่า? เราค่อยๆ ห่างเหินกันและกัน แต่ละคนเห็นสิ่งที่เราปรารถนาในขอบฟ้าที่ไร้รูปร่าง เราแต่ละคนเดินไปตามทางของตัวเอง ฉันเห็นบารานทำสงครามศาสนาด้วยโทสะอันชอบธรรม แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่วันแล้ว เพราะดวงอาทิตย์ที่นี่ไม่ใช่ดวงอาทิตย์จริง ฉันเชื่อว่าแต่ละหุบเขาที่ฉันสัญจรนั้นมีดวงอาทิตย์เพราะฉันคาดหวังว่าดวงอาทิตย์จะลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่ละหุบเขามีท้องฟ้านี่เป็นเพราะฉันคาดหวังว่าจะมีท้องฟ้าด้วยหรือเปล่า? ฉันไม่เชื่อในสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
ฉันจะไม่บอกว่าตัวเองขื่นขม แต่ฉันเห็นว่าแต่ละคนเสื่อมถอยลงไปทุกที ขณะที่ฉันยังยึดเอาความเชื่อมั่นของฉันเป็นสรณะ ดร็อกซ์เชื่อว่าเขาสามารถสร้างแผ่นดินใหม่ที่นี่ให้ตัวเองได้เป็นราชา อัตตาของเขาทำให้เขาห่างไกลฉันไปเสียทุกที อัล-เฮซมินตั้งใจพิสูจน์ทักษะต่อศัตรูที่อันตรายยิ่งขึ้นไปเพื่อพยายามทำตัวให้ทรงพลังยิ่งไปกว่าดร็อกซ์กับบารานอย่างไร้สาระ เป็นความริษยาอันเป็นพิษต่อวิญญาณและแผ่นดินรอบตัวเขา
พวกเขาทุกคนน่ารังเกียจเข้าไปทุกที
เวริทาเนียผู้ครองหลักการ -
ฉันเข้าใจแล้ว ฉันต้องทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางแห่งศีลธรรม ณ สถานแห่งนี้ คนอื่นๆ ต่างลุ่มหลงไปกับความต้องการอันตะกละตะกลามของตนเอง พวกเขากลายเป็นเพียงผู้เสพติดที่ลุ่มหลงไปกับภวังค์แห่งความหมกมุ่น แค่คิดถึงพวกเขาฉันก็สะอิดสะเอียน
ฉันจะต้องต่อสู้ไม่ให้ความสยดสยองออกมาจากหมอกเหล่านี้เพราะฉันต้องกำราบมันเอาไว้ ผู้ไร้บาปย่อมใช้กำลังในการสร้างระเบียบในโลกอันโกลาหล และฉันไม่สามารถยอมให้คนอย่างอัล-เฮสมินหรือดร็อกซ์แพร่กระจายบาปโสโครกของพวกเขาได้
ใช่ ฉันเป็นคนเดียวที่ยังเป็นอิสระจากโถงกระจกแห่งนี้ ฉันเป็นคนเดียวที่ยังคิดอะไรปลอดโปร่ง ฉันต้องพาเราออกจากที่นี่ก่อนที่จะสายไป... ฉันเป็นคนเดียวที่ยังช่วยพวกเราได้อยู่
เวริทาเนียผู้ไร้บาป -
พวกเดรัจฉานโสโครกน่ารังเกียจนัก! 'สมุดแผนที่' นี่มันเต็มไปด้วยบาป พวกมันออกมาจากหมอกในทุกทิศทาง พวกมันเต้นรำ หัวเราะ กิน ดื่ม กระโดดโลดเต้น แสดงออกถึงจิตใจอันอ่อนแอของมนุษย์ได้อย่างวิตถารยิ่ง เสียงปากกระทบกันยามพวกมันเคี้ยวทำให้ฉันแสบหู เสียงกลืนในลำคอที่บวมขึ้นยามพวกมันดื่มไวน์ทำให้ฉันเดือดดาล การเปิดอกรับเหรียญ เพชรพลอย กับสมบัติทองคำนั้นทำให้ฉันสั่นกลัว
แกไม่เห็นกับตัวเหรอว่าแกมันน่ารังเกียจขนาดไหน? หยุดบริโภค หยุดกินดื่ม เบิกตาดูสิว่าแกกลายเป็นสิ่งที่เลวทรามเช่นไร! อาหารทุกคำที่แกยัดเข้าคอ คำโกหกทุกคำที่แกบอกตัวเอง มันต่างทำให้แกชั่วร้ายเข้าไปทุกที แกกำลังเปลี่ยนแปลง แกมันผิดรูป ปากของแกบวมขยาย ดวงตาของแกบวม มือของแกพอง แกไม่เห็นตัวแกเองหรือไง?!
ฉันจะช่วยให้แกรอดพ้นจากบาปของตัวเองโดยการชำระล้างความอ่อนแอของแกให้สิ้น
เวริทาเนียผู้พิชิตบาป -
ตอนที่ข้าพบเธอ เธอเป็นผู้ที่ผิดธรรมดา เธอเป็นคนเงียบและเรียบร้อยจนแทบจะเป็นคนเก็บตัวก็ว่าได้ แต่เหมือนว่าเธอจะถูกผลักดันโดยหลักมนุษยธรรมที่เธอมักพูดที่ค่ายกองไฟ ก่อนหน้านี้ เธอดูแลคนหิว คนไร้โชค คนไร้บ้าน คนติดยา และคนที่เป็นทาสอย่างเท่าเทียมกัน ที่จริงเธอถูกเนรเทศจากการทำงานการกุศล... เธอช่วยเหลือชาวมาราเค็ทกับคารุยที่ถูกทารุณมามากเสียจนทำให้คนใหญ่คนโตในโอริอาทเดือดดาลนัก
เมื่อเราสำรวจสมุดแผนที่ จิตใจของเวริทาเนียเป็นทรัพยากรล้ำค่า เธอทำให้เราใช้ทรัพยากรอันจำกัดของเราอย่างคุ้มค่าได้มากกว่าที่ข้าคาดคิด ช่วยให้เราหลบเลี่ยงการเผชิญหน้าอันเปล่าประโยชน์ และช่วยให้เราเก็บแรงเอาไว้ใช้กับช่วงเวลาที่จำเป็นที่สุด เธอมองเห็นสถานการณ์แย่ๆ ก่อนทุกคนและช่วยให้เรารอดพ้นจากสถานการณ์เหล่านั้น
แต่จิตใจของเธอก็ถูกสมุดแผนที่กดทับจนแหลกสลายเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เวริทาเนียผู้เคยมีเมตตาจึงกลายเป็นผู้ที่ชิงชังทุกสิ่งที่เราเผชิญ ไม่มีใครนอกจากดร็อกซ์ที่สามารถทำตามมาตรฐานของเธอที่สูงส่งขึ้นไปทุกที เธอหนีจากกลุ่มไปไม่นานหลังจากที่เราทิ้งเขาไป ครั้งสุดท้ายที่เราได้พบกับเธอ เธอหาว่าข้าใช้ความลึกลับของสมุดแผนที่เป็นยาเสพติดเพื่อให้ลืมการสูญเสียพ่อของข้า จากที่เธอพูดจาเฮงซวยแบบนั้น เจ้าคงเข้าใจเหตุที่ข้าไม่อยากพบเธออีก - บาราน ผู้พิชิตอธรรม
-
เช่นเดียวกับหลายๆ คนที่เคยภักดีต่อระบอบเทมพลาร์ บารานมีความชังต่อเพื่อนร่วมศาสนาของเขาเป็นอย่างยิ่ง การที่เราต่างเกลียดโดมินัสทำให้เราสานสัมพันธ์กันได้ มีหลายต่อหลายคืนที่เราตื่นมาเนิ่นนาน คุยกันว่าวิทยาศาสตร์กับความเชื่อทางจิตวิญญาณมีจุดยืนร่วมกันตรงไหน... และขัดแย้งกันตรงไหน
แม้ข้ามักเห็นด้วยกับมุมมองทางโลกของเวริทาเนียว่าผู้คนจะต้องรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง บารานยังยึดมั่นในศรัทธาว่าความเชื่อมั่นใจพระเจ้าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการตัดสินทางศีลธรรมอันถูกและควร ถึงพวกเทมพลาร์ทำอะไรกับเขาเอาไว้มาก แต่ศรัทธาของเขาก็ไม่สั่นคลอน
ถึงเราจะไม่เห็นตรงกันบ้าง แต่เราเคารพจุดยืนของอีกฝ่าย แต่แน่นอนว่าเมื่อความบ้าคลั่งเกิดขึ้น ความเคารพนั้นก็หายไป กลายเป็นการต่อล้อต่อเถียงและด่าทอกัน เมื่อคนในกลุ่มหายไปทีละคน เขามีเหตุผลที่จะทำให้เกิดความคลางแคลงใจต่อคนที่ลาจาก เมื่อเราทะเลาะกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่แต่ละคนจะไปตามทางของตัวเอง เขากล่าวหาว่าปีศาจเงาส่งข้ามาล่อลวงเขาออกจากทางธรรม...
แล้วก็เหลือข้าอยู่เพียงลำพัง -
มันก็แบบนี้ ไม่มีใครช่วยชีวิตบารานได้ คาเซอริอุส... เธอเข้าใจหรือเปล่าว่าจะต้องแลกกับอะไรบ้าง? เธอรู้ตัวไหมว่าได้น้องข้าไปรับชะตากรรมเช่นนี้? ข้าขมขื่นมากที่เธอเคยทุ่มสุดตัวในการช่วยชีวิตพ่อของเธอ แต่เรากลับทิ้งน้องข้าให้บ้าคลั่งไปตลอดกาลแบบนี้ มันทำอะไรไม่ได้หรอก แต่มันก็ยังเจ็บอยู่
-
ในใจข้า ข้าโทษเธอในเรื่องที่เกิดขึ้นกับบาราน หากเขาแค่ตายมันก็เรื่องหนึ่ง แต่เธอเป็นเหตุที่ทำให้เขาทรมาน บ้าคลั่งไปตลอดกาล ข้าไม่ปฏิเสธหรอกว่าข้าขมขื่นมาก แต่หน้าที่ต้องมาก่อน แล้วเราก็มีคนเพียงเท่านี้ หากเราพยายามอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้ให้กับคณะตุลาการพลเมือง คาเซอริอุสย่อมถูกจับเข้าซังเตจากการร่วมมือกับอาชญากร ส่วนเราก็จะถูกจับส่งโรงพยาบาลบ้าจากเรื่องราวแสนประหลาดของเรา ดังนั้นเราจะต้องเผชิญหน้ากับ 'ไซรัส' ผู้นี้ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะคับข้องใจกันอย่างไรก็ตาม
- Watchstones and The Return of Sirus
-
พวกเขาทิ้งข้าไป ยามข้าต้องการความช่วยเหลือ พวกเขากลับทิ้งข้าไป
ข้าจะได้ว่าเห็นแสงที่ถูกดูดกลืนไปด้วยลูกแก้วความมืด ค้างอยู่บนนั้น ข้าจำได้ว่ามือของมันเอื้อมหาอะไรสักอย่างเพื่อคว้าเอาไว้ จนตรอก ข้าจำได้ว่าข้าก้าวไปข้างหน้า ข้าไม่ได้นึกถึงตัวข้าหรือโอริอาท ข้านึกถึงเพื่อน นึกถึงพี่น้องข้าที่ฝากชีวิตไว้กับข้า ข้าจำได้ว่ากำปั้นของมันบีบแน่น แล้วข้าก็หมดสติ
ข้าจำได้ว่า... กระจก ถูกผนึกในกระจก ข้าขยับไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่ข้ามองเห็นได้ทุกอย่าง ข้าเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นเธอจากไป มันผ่านไปไวเหลือเกิน หนึ่งพันคืนวันผ่านไปในชั่วพริบตา แล้ว...
ไม่มีอะไร ข้าไม่รู้สึกอะไร ไม่มีความเศร้าโศกหรือความโกรธเกรี้ยว ไม่มีความสุข ไม่มีความเจ็บปวด ข้าเป็นอิสระ เคลื่อนไหวได้เป็นอิสระ ไปได้ทุกที่ดังใจอยาก เป็นอิสระจากความปรารถนา เป็นอิสระที่จะได้เห็นว่าจักรวาลเป็นเช่นไร
ว่างเปล่า -
แด่ผู้ใดก็ตามที่พบจดหมายฉบับนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ในดินแดนอันประหลาดและผิดเพี้ยนนั้นยากเกินการเข้าใจใดๆ สิ่งชั่วร้ายที่เก่าแก่กว่ากาลเวลาผู้ที่ร่อนเร่ไปตามดินแดนนี้ได้กัดกินความทรงจำของวาลโด คาเซอริอุส บุตรแห่งโอริอาท
ทว่าปีศาจที่ได้กัดกินเขานั้นทรงพลังเหนือคณานับ และมีปรารถนาอย่างไม่หยุดยั้งในการแพร่กระจายสิ่งที่เราค้นพบว่าถูกเรียกว่า 'การเสื่อมสลาย' เราไม่รู้ว่าเราได้ตามติดมารร้ายนี้มานานเสียเท่าไร นานพอที่มิตรของข้าเริ่มมีอาการแห่งความบ้าคลั่ง เราคงจะแพ้พ่ายต่อความชั่วร้ายนี้หากไม่มีไซรัสผู้เป็นผู้นำ... และผู้เสียสละ
เราไม่พบทางใดที่จะสยบมารร้ายนี้ แม้เราจะพยายามมานับไม่ถ้วนก็ตาม ทว่าเป็นบุตรสาวของวาลโดที่พบวิธีปิดผนึกมัน ทว่ามันต้องแลกมากับการที่ซานะต้องสูญเสียบิดาของเธอไป ขอให้วิญญาณเขาทรงไปสู่สุคติ การเดิมพันของเราคงล้มเหลวหากไม่มีไซรัส มารร้ายไม่ยอมจำนน พยายามตะกายหาทางออกมาจากเครื่องของซานะ ไซรัส... เขากระโจนเข้าไป เราเห็นมารร้ายสัมผัสร่างของเขา แล้วก็ปล่อยเงื้อมมือของมันไปในท้ายที่สุด ท้งไซรัสกับมารร้ายนั่นเข้าไปสู่กับดักและออกไปจากความเป็นจริงของเรา ทั้งคู่หายไป
แล้วไซรัสก็กลับมาอีกครั้ง ไม่มีใครพบว่าเขากลับมา ดวงตาของเขาไม่ขยับ เขาไม่กระพริบตา เขาพร่ำเพ้อ... อย่างบ้าคลั่งและไม่หยุดยั้ง ใบหน้าของเขาถูกบิดเบือนเช่นเดียวกับผู้อื่นที่ถูกวิญญาณดำสิงสู่ เขาจู่โจมเราครั้งแล้วครั้งเล่า เราไม่อาจเหนี่ยวรั้งเขาได้ เราต้องหลบหนีไปจากที่นั่น นั่นเป็นตอนที่เราพบว่าทางกลับบ้านของเราถูกปิดลง บุตรสาวของวาลโดได้ทำลายทางกลับบ้านของเรา
ข้าไม่ทราบว่าเราติดอยู่ในนี้มานานเท่าไร อย่างน้อยเป็นสัปดาห์ อาจเป็นปีก็เป็นได้ เวลาในสมุดแผนที่นั้นเป็นเพียงเรื่องลวงตา
ได้โปรดเถิดผู้อ่าน หากเจ้ายังมีสำนึกหลงเหลืออยู่ อย่าได้ดำรงอยู่ในที่แห่งนี้ กลับไปสู่โอริอาทหรือที่ใดที่เจ้าจากมา บอกเล่าให้พวกเขารู้ถึงความเป็นวีรบุรุษและการเสียสละของไซรัส แล้วปล่อยให้เขากับพวกเราตายไปพร้อมกับความลับที่เราได้พบ
บาราน ผู้สิ้นศรัทธา -
เขาเงียบไปแล้ว ในท้ายที่สุดเขาก็หยุดพร่ำเพ้ออย่างบ้าคลั่งเสียที
เราไม่อาจหลบหนีไปได้ ไม่ว่าเราจะไปที่ใด หลบซ่อนอยู่ที่ใด พำนักอยู่ที่ใด เราก็พบเสียงพร่ำเพ้อของเขา ถึงแม้ว่าเราจะแตกคอกัน เสียงของเขาได้รัดรอบศีรษะเราดั่งงูตัวหนึ่ง บีบรัดเอาความทรงจำอื่นๆ ให้เป็นรูปทรงที่บิดเบี้ยว ข้าไม่อาจได้ยินเสียงพระเจ้าด้วยเสียงรบกวนที่ดังขึ้นตลอดเวลาเช่นนี้
ข้ามิกล้ามาเยือนพระองค์แล้ว ข้าอยากหนีจากเรือนจำแห่งนี้แล้วลงโทษมารศาสนาอวดดีคนนั้น คาเซอริอุส โทษฐานที่เธอกระทำอย่างโง่งม จากนั้นข้าอาจกลับมาพร้อมกับกองทัพหนึ่งแล้วยึดครองสมุดแผนที่เอาไว้ จะมีวิธีใดอีกเล่าที่จะแสดงศรัทธาได้ดีกว่าการสร้างชาติในนามของพระเจ้า? แล้วจากนั้นเล่า? ตามแต่เสียงกระซิบของพระองค์ท่าน
พระองค์ท่านได้เผยประตูให้แก่ข้าแล้ว เผยให้ข้าเห็นหิน หนทางที่หินเหล่านั้นได้เผย ข้าเพียงต้องตามหากุญแจที่ถูกดอกเพียงเท่านั้น
พระเจ้า ข้าเป็นบริวารของท่าน ข้าเป็นดาบของท่าน ทั้งจิต ร่างกาย และวิญญาณของข้าต่างเป็นของท่าน และข้าขอปฏิญาณว่าข้าจะมอบทุกสิ่งที่ท่านประสงค์
บาราน ผู้ได้รับพร -
เมื่อบารานหลบหนี เขาทิ้งอัญมณีไว้หนึ่งเม็ด มันมีหน้าตาเหมือนมณีบารมี แต่ข้าไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งนั้น
ตอนที่เราสยบเอลเดอร์ เราไม่ได้ฆ่ามัน ข้าไม่คิดว่าเราสามารถฆ่าอะไรแบบนั้นได้ เราจึงปิดผนึกเอลเดอร์ด้วยการใช้เครื่องที่พ่อของข้าออกแบบ มันเป็นแบบที่พวกเรากอบกู้มาจากความทรงจำของเขา เมื่อเราปิดผนึกปีศาจนั่น ความทรงจำบางส่วนของพ่อข้ากับเหยื่อนับไม่ถ้วนของเอลเดอร์ถูกขับออกมา ความทรงจำเหล่านั้นผสมปนเปไปด้วยกันจนไม่อาจแยกจากกันได้แม้แต่น้อย
อัญมณีเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากเหยื่อของเอลเดอร์ตลอดชั่วกัปชั่วกัลป์ มันเป็นคริสตัลที่รวบรวมความคิดไว้มากมายและดึงพลังแฝงของสมุดแผนที่ไปสู่พวกมัน การถืออัญมณีนี้คือการถือชีวิตนับไม่ถ้วนเอาไว้ในมือ ทำให้จิตใจของเจ้าเต็มไปด้วยภาพ เสียง และอารมณ์ที่ผสมปนเปไปอย่างบ้าคลั่ง
ข้าไม่รู้ว่าบารานรู้ไหมว่าเขามีอะไรอยู่กับตัว แต่ข้ารู้ว่าเขารู้ว่ามันทำอะไรได้ อัญมณีเหล่านี้มีพลังอันมหาศาลเสียจนสามารถทำให้เจ้าหลงอำนาจ ข้าต้องใช้พลังใจทั้งหมดที่มีถึงจะยกมือออกจากอัญมณีนี้แล้วก้าวไปจากมันได้ ข้าไม่อาจยอมให้เจ้าเอาอัญมณีเหล่านี้ไปเองแน่ แต่เราสามารถใช้อัญมณีเหล่านี้ในการต่อกรกับนักฆ่าเอลเดอร์ได้อยู่ -
อัญมณีผู้พิทักษ์แต่ละเม็ดมีข้อมูลจำนวนมหาศาลจากผู้สำรวจสมุดแผนที่รายแรกๆ เมื่อเหล่าเอ็กไซล์ต้องการซ่อนตัวจากเรา พวกเขาย่อมเคลื่อนย้ายไปสู่ถิ่นที่ลึกยิ่งไปกว่าเดิมและกลบเส้นทางเสียสิ้น แต่วิญญาณในอัญมณีเหล่านี้รู้สึกเส้นทางเหล่านี้ดี
ข้ารู้จักสถานที่ในสมุดแผนที่ที่เราสามารถใช้อัญมณีเหล่านี้ในการเผยเส้นทางเหล่านั้น เพียงแค่เจ้าบอกให้ข้ารู้ว่าเจ้าอยากสำรวจสมุดแผนที่ส่วนไหนให้ลึกยิ่งไปกว่าเดิม ข้าก็สามารถใช้อัญมณีเหล่านี้ในการเผยตำแหน่งที่ถูกซ่อนเร้นมาเนิ่นนาน แต่ระวังให้ดี อัญมณีเหล่านี้จะมอบพลังให้กับทุกสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง และมันย่อมทำให้ศัตรูของเราเผยตัวเป็นแน่แท้ -
ข้าคงจะโง่ที่คิดว่าจะปิดผนึกเราทุกคนได้ตลอดกาล ยังไงเสียก็จะมีคนช่างสงสัยเกินควรอยู่วันยังค่ำ
เอ็กไซล์ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร ช่วยทำอะไรลงไปบ้าง ข้ารู้ว่าเจ้าแข็งแกร่ง ฆ่าเหล่าทวยเทพได้! แต่เอ็กไซล์คนอื่นๆ ในสมุดแผนที่... ไม่มีใครเทียบพวกเขาได้จริงๆ
แต่เราต้องหยุดพวกเขา เรามีเวลาเพียงเล็กน้อยขณะที่พวกเขาไม่เข้าใจว่ามีหนทางกลับไปสู่เวร์แคลสท์ พวกเขาพยายามหาทางอื่นในการออกมา
ข้าเริ่มสร้างแท่นศิลาแบบนี้ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ระหว่างแผนที่ต่างๆ ข้ากังวลว่าคนอื่นๆ จะสร้างแท่นศิลาเหล่านี้เพื่อหาทางหลบหนี เราต้องหาทางหยุดยั้งพวกเขาให้ได้
ข้าขอโทษจริงๆ ข้ารู้ว่าเจ้าช่วยทำอะไรไว้มากมาย... แต่จะมีใครที่ทำตามที่ข้าขอได้อีกเล่า?
พวกเอ็กไซล์พบเส้นทางลึกลับเหมือนกับเส้นทางนี้ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่ถ้าเจ้าพบที่ซ่อนของพวกเขา ข้าก็นำพวกเราไปที่นั่นได้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ในที่ซ่อนของเจ้า - ผู้ทำให้โลกตื่น
-
มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับสมุดแผนที่ เอ็กไซล์ ตอนที่เจ้าใส่อัญมณีผู้พิทักษ์เม็ดที่สี่ลงไปในหอคอย มีอะไรบางอย่างตอบสนอง มีพายุอยู่ตรงขอบฟ้า... คลองเล็กๆ กลายเป็นแม่น้ำ... ข้าเป็นคนที่เปรียบเปรยได้ไม่ดีนัก แต่ข้าไม่รู้วิธีอธิบายการสัมผัสถึงพลังที่ปะทุผ่านมาตามสายลม หากสมุดแผนที่เป็นยักษ์ที่หลับใหล พลังปริศนาของเราก็กำลังปลุกมันให้ตื่นขึ้น
-
ยามที่เจ้าตามรอยเหล่าผู้พิชิต ข้าสังเกตว่ามีแถบการทำลายล้างจำนวนมากที่เกิดขึ้นจากพลังปริศนา แผ่นดินแปรเปลี่ยนรูปร่างและถูกปลุกขึ้นด้วยพลังมหาศาลในภายหลัง ข้าจึงนึกว่ามันเป็นคุณสมบัติของสมุดแผนที่เพียงลำพัง แต่ข้าเห็นวัฏจักรแล้ว: พายุหนึ่ง มีพายุหนึ่งที่ไหนสักแห่งอยู่ภายนอกอันมีขนาดใหญ่ยิ่งไปกว่าสิ่งใดที่เราเคยพบเจอ มันมีพลังมหาศาลจนสามารถทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางมัน พายุนั่น... ข้าเอาตาเป็นเดิมพันเลยว่าผู้ทำให้ตื่นผู้ลึกลับรายนั้นจะอยู่ตรงใจกลาง
-
ไม่... ไซรัสยังมีชีวิตอยู่เหรอ? พระเจ้าช่วย ข้าคิดมาตลอดว่าเขาตายไปแล้ว! เขารับพลังงานที่ถูกปล่อยออกมาตอนที่เราปิดผนึกเอลเดอร์ไปเต็มๆ เขารอดมาได้ยังไง?
ไซรัสเป็นหัวหน้าของกลุ่มเอ็กไซล์ที่ข้าชักชวนเข้ามา เขาเป็นคนที่ฉลาด มุ่งมั่น และมีพลังอย่างแรงกล้า ต่อให้เป็นก่อนที่เราจะเดินทางตามสมุดแผนที่ไปด้วยกันก็ตาม เรา... ใกล้ชิดกัน ข้าใจสลายตอนที่เขาหายไปกับเอลเดอร์ ตอนแรกข้านึกว่าเอ็กไซล์คนอื่นๆ ก็ตามหาเขาอยู่ด้วย แต่พวกเขาคงรู้ว่าเขายังไม่ตาย...
ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าไซรัสอาจเป็นเหตุที่ทำให้คนอื่นๆ บ้าคลั่ง หรือไม่เขาก็อาจจะบ้าเท่ากับพวกเขาแล้ว เราต้องตามหาเขา หยุดเขาให้ได้ หากคนอื่นๆ กำลังหาทางออก ข้ามั่นว่าเขาก็หาทางออกอยู่เช่นกัน -
เอ็กไซล์ มีเรื่องฉุกเฉิน ตอนที่เจ้าไม่อยู่ เครื่องเปิดแผนที่มีอาการแปลกๆ มันสั่นไหว ส่งเสียงเบาๆ หมุนเกียร์ของมันราวกับถูกกระตุกจากเส้นใยที่ล่องหน ข้าเกรงว่าข้ารู้สาเหตุแล้ว...
ณ ใจกลางสมุดแผนที่มีพายุขนาดใหญ่ที่ได้ปิดบังข้อมูลทั้งหมดในเขตนั้นตั้งแต่ไซรัสกลับมา ไซรัสอยากหลบหนี และเขาอาจพบทางออกแล้ว เขาประกอบเครื่องเปิดแผนที่จากภายในสมุดแผนที่เพื่อเดินทางกลับไปสู่เวร์แคลส์ท มันเป็นเหตุเดียวที่อธิบายว่าทำไมเครื่องเปิดแผนที่ของเราถึงเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ ต่อให้เป็นพายุนั้นก็ไม่สามารถกระจายพลังของเครื่องอีกเครื่องหนึ่งได้
เราต้องรีบแล้วเอ็กไซล์ หากไซรัสกลับมายังโอริอาท... พระเจ้า... เราต้องทำลายเครื่องนั้น ไม่งั้นจะมีแต่ความหายนะ -
คนที่ไซรัสเคยเป็นกับผู้ผิดธรรมชาติที่ทำลายบ้านเกิดของเรามันต่างกันเป็นหน้ามือกับหลังมือ สิ่งที่เขาได้เผชิญขณะที่ปิดผนึกเอลเดอร์ได้ทำลายแก่นแท้ของเขาไปเสียสิ้น เมื่อไซรัสกลับมา เขากลับมาอย่างไม่สมบูรณ์เพราะขาดแก่นแท้ที่สำคัญนั่นไป
ไม่นานมานี้ข้าคงมีความหวังว่าเราจะได้พบกับสิ่งนั้น หวังว่าไซรัสตัวจริงจะล่องลอยไปตามสมุดแผนที่ รอให้เราตามหาแล้วพากลับบ้านเกิด
แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าไม่ควรหวัง บางทีตัวตนของข้าในส่วนนั้นอาจถูกสมุดแผนที่กัดกร่อนไปแล้วก็เป็นได้ -
เขาเป็นคนชั่วหรือเปล่า? ข้านึกเรื่องนี้อยู่ตลอดเมื่อข้าพยายามนอนยามค่ำคืน เพราะเหมือนว่าแผลที่เขาทำกับข้าจะไม่มีวันหายดี มันคันเหมือนกับแมลงวันโคลนที่บ้าคลั่ง ไอ้พลังแหลกสลายที่ตกค้างมันกัดกินข้าด้วยความเร็วพอๆ กับที่ผิวหนังจะรักษาตัวเอง...
โอ้ แต่ไซรัสน่ะ ข้านึกไม่ออกถึงการถูกทิ้งในความมืดมิดอยู่ชั่วนิรันดร์จากมุมของตัวเอง ข้ายังนึกไม่ออกถึงการที่กลวงเปล่าเสียจนข้าทำร้ายคนที่ข้าเคยรัก แต่ท้ายที่สุดข้าว่ามันไม่สำคัญแม้แต่น้อย เราทำในสิ่งที่เราต้องทำ... และเราจะทำเช่นนั้นต่อไปเมื่อเวลานั้นมาถึง - The Second Fall of Oriath
-
เหมือนว่าพอก็คือพอ กองหน้าทำการอพยพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติกาล... และโอริอาทก็ถูกทอดทิ้ง หลังจากการครองอำนาจของพวกเทมพลาร์ ตามด้วยการปราบปรามภายใต้อินโนเซน ตามด้วยการสังหารหมู่ด้วยน้ำมือของคิทาวา แล้วก็ลงเอยที่การสร้างหายนะของไซรัส มันเห็นได้ชัดว่าเกาะเล็กๆ ของเราไม่ใช่ที่ที่คนใดควรอยู่ บางคนอาจเรียกได้ว่าที่นี่เป็นที่ต้องสาปเสียด้วยซ้ำ แต่พวกเราก็มีส่วนทำให้เกิดหายนะเหล่านี้เช่นเดียวกัน
มันตลกร้ายไม่เบาเลยที่ชาวโอริอาทอย่างเราต้องไปพึ่งใบบุญชาวคารุยที่เราเคยจับมาเป็นทาส ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าถ้าเราทำชั่วกับใคร เขาย่อมทำชั่วกับเราเข้าสักวันหนึ่ง แต่ข้าประเมินเกียรติยศของเจ้าของแผ่นดินใหม่ของเราต่ำเกินไป พวกเขาเปลี่ยนไปหลังจากที่เหล่าเทพเจ้าของพวกเขาตายลง... เราเองก็เปลี่ยนไปหลังจากที่เทพเจ้าของเราจากไป ข้าไม่ใช่ผู้ที่มีศรัทธาแต่แรก แต่ข้าเองก็สัมผัสได้ บัดนี้เราอยู่ตามลำพังแล้ว
เราจะต้องร่วมมือกันเพื่อเผชิญกับสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้...